PropTech ตอบโจทย์ครบทุกมิติของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เพราะเชื่อมโยงกับหลายองค์ประกอบทางสังคมไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ความต้องการของผู้ซื้อ นโยบายของรัฐบาลอย่างการเรียกเก็บภาษีที่ดิน หรือแม้แต่ลักษณะครอบครัวที่เปลี่ยนไปมักมีผลกับการเลือกที่อยู่อาศัยด้วย เช่น ในอดีตผู้คนอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวใหญ่จึงต้องเลือกซื้อบ้าน แต่ปัจจุบันเราอยู่แยกกันเป็นครอบครัวขนาดเล็ก ผู้ซื้อส่วนใหญ่จึงสนใจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบคอนโดมิเนียมมากกว่า และอาจจะตัดสินใจเลือกเช่าเพื่ออาศัย มากกว่าการซื้อ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามเม็ดเงินไหลเวียนในกลุ่มธุรกิจนี้ก็ยังคงสูงมาก และมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในด้านอื่น ๆ เช่น การค้า การจ้างงาน การลงทุน ดังนั้นจึงมีการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data, IoT, AR และ VR เข้ามาใช้เพื่อพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในการค้นคว้า ก่อสร้าง ซื้อ-ขาย และการบริหารจัดการ หรือที่เรียกกันว่า PropTech (Property Technology) ซึ่งนับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่น่าจับตามองมากที่สุดแขนงหนึ่ง ตามรายงานของ The Pulse of Fintech ของเครือข่ายของสถาบันการเงินการบัญชีนานาชาติ KPMG
แม้รากฐานของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นสิ่งปลูกสร้าง แต่ PropTech ที่เหล่าสตาร์ทอัพพัฒนาขึ้นมานั้นสามารถนำมาใช้พัฒนา ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้ทุกมิติ ตั้งแต่การวางแผนการพัฒนาที่ดิน, วางระบบสาธารณูปโภคแบบ Smart System, การซื้อ-ขาย และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคารเมื่อซื้อขายเรียบร้อยแล้ว ให้เกิดความสะดวกสบายกับผู้ใช้บริการทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยเอง นายหน้า หรือนักลงทุน
PropTech แบบแรกที่น่าสนใจ เน้นให้บริการที่จะช่วยให้การวางแผนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ หรือเช่าเพื่ออยู่อาศัย หนึ่งในนั้นคือ สตาร์ทอัพสัญชาติอังกฤษอย่าง Realyse ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data Analysis ในการค้นหาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจให้กับลูกค้าที่เป็นผู้อาศัย และนักลงทุน โดยให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ตั้งแต่การบอกเรทราคาเช่าซื้อ,การบอกข้อมูลประชากรในพื้นที่, การวิเคราะห์โอกาส และความคุ้มค่าในการทำกำไร รวมถึงช่วยคำนวณแผนการจ่ายค่าเช่า หรือวางแผนการเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น ๆ ได้อีกด้วย
ในกลุ่มผู้ขายหรือนายหน้า เทคโนโลยีมาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ในการเข้าชมอสังหาริมทรัพย์ให้ลูกค้าตกลงซื้อง่ายขึ้นได้ โดยมีสตาร์ทอัพอย่าง Matterport ที่นำเทคโนโลยี Virtual Reality มาช่วยจำลองห้องเสมือนให้ลูกค้าเลือกชมได้เต็มอิ่มแบบสามมิติ หรือที่เรียกกันว่า Virtual Tour โดยผู้ขายสามารถใช้กล้องสามมิติถ่ายอสังหาริมทรัพย์ไว้ เพื่อสร้างแบบจำลองห้องเสมือนจริง เพื่อให้ลูกค้าสามารถชมบรรยากาศของห้องได้ด้วยแว่น VR โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่จริง นอกจากนี้ยังมีบริการสร้าง 3D Digital Twin ของอสังหาริมทรัพย์จากภาพสแกนเพื่อใช้ในการออกแบบตกแต่งห้อง ให้ลูกค้าได้เห็นดีไซน์แบบต่าง ๆ ที่สามารถทำได้ในพื้นที่นั้น ๆ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ดูความก้าวหน้าในงานก่อสร้างได้อีกด้วย ซึ่งจะทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ เช่า หรือตกแต่งปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม
นอกจากการซื้อ-ขายทั่วไป PropTech ยังสามารถเข้ามาช่วยตอบโจทย์ในการทำกำไรจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างครอบคลุม ตัวอย่างเช่น CapitalRise สตาร์อัพที่ช่วยประเมินความเสี่ยง และคัดกรองอสังหาริมทรัพย์แต่ละแห่ง ดูแลการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยมีการอัพเดทสถานะของการลงทุนทุกไตรมาส เพิ่มเติมด้วยบริการทางการเงินอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น การลงทุนปลอดภาษีผ่านโครงการ IFISA ของรัฐบาลอังกฤษ โดยผู้ที่สนใจสามารถเริ่มลงทุนได้ด้วยเงิน £1,000 หรือสี่หมื่นกว่าบาทเท่านั้น
การใช้เทคโนโยลีต่าง ๆ ไม่ได้จบลงเพียงแค่การซื้อ-ขาย หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น สำหรับผู้ที่อยู่อาศัยในระยะยาว แนวคิด Smart Place เป็นทิศทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยการนำเทคโนโลยี IoT (The Internet of Things) ที่ใช้สั่งการอุปกรณ์เครื่องใช้ผ่านอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นตัวช่วย เช่น สตาร์ทอัพ Embue ที่ออกแบบแพลตฟอร์มสำหรับผู้บริโภคที่พักในอพาร์ตเมนท์ โดยตั้งเป้าไปที่การอำนวยให้ผู้บริหารจัดการอาคารและผู้อยู่อาศัย ผ่านระบบวิเคราะห์ข้อมูล และ Automation ที่คอยตรวจวัดอุณหภูมิ และสภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้องพัก ทั้งยังสามารถคาดการณ์ล่วงหน้า และแจ้งเตือนเมื่อมีอุปกรณ์ที่ต้องได้รับการซ่อมบำรุง ซึ่งช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการดูแล และช่วยลดค่าใช้จ่ายสาธารณูปโภคได้ถึง 5-30% หรือสตาร์ทอัพ Spaceti ที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน แต่นำมาบริหารจัดการพื้นที่ทำงานทั้ง Co-working Space และอาคารสำนักงาน ตั้งแต่การนำทางภายในอาคาร จัดสรรห้องประชุม และโต๊ะทำงาน ไปจนถึงการหาและจองที่จอดรถได้อีกด้วย
ขณะเดียวกันในประเทศไทยเอง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ตอบรับเทรนด์ PropTech โดยประยุกต์รวมเอาความรู้ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และเศรษฐกิจเข้ากับภูมิศาสตร์ (GIS) เอามาไว้ในวิชา “เทคโนโลยีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” ซึ่งองค์ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่จะอยู่ในเนื้อหาหลักสูตรก็ได้แก่ ซอฟแวร์ GIS ArcGIS Pro หรือ Site Selection ที่นำเอา Data Transformation และ Big Data มาใช้ในการรวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อ หาความเหมาะสมกับข้อมูลประชากร (Suitability Analysis) และ เลือกทำเลที่ที่เหมาะสมกับการตั้งอสังหาริมทรัพย์ และการใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศต่างๆ เป็นต้น วิชานี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรปริญญาโท ภาควิชาอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญอีกก้าวในการติดอาวุธทางปัญญาให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และมีความสนใจในเทคโนโลยี ทั้งนี้ มีบุคลากรที่ทำงานด้านอสังหาริมทรัพย์เข้าร่วมสมัครในหลักสูตรนี้ ไปแล้วถึง 79% ที่เหลืออีก 21% เป็นนักศึกษา และกลุ่มคนทั่วไป โดยตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน GIS สู่แวดวงอสังหาฯ เพิ่มขึ้นกว่า 100 คน ต่อปี
Property Technology ถือเป็นเทคโนโลยีที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ AI, Big Data Analysis, Virtual Reality ไปจนถึง IoT ซึ่งถือได้ว่ามีประโยชน์รอบด้านที่ช่วยให้การดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งในขั้นตอนของการซื้อ เช่า ลงทุน ไปจนถึงการบริหารจัดการอาคาร ถือได้ว่าเป็นเทคโนโลยี และธุรกิจที่มีโอกาสในการเติบโต และพัฒนาได้อีกมาก InnoHub เชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีพื้นที่มากพอให้ PropTech สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ๆ ได้แสดงฝีมือว่าเทคโนโลยีสามารถยกระดับบริการอสังหาริมทรัพย์ให้มีประสิทธิภาพขึ้นได้อย่างไรบ้าง ในอนาคต
อ่านเพิ่มเติม >> Smart City ถอดบทเรียนความสำเร็จ ยกระดับคุณภาพชีวิต