เมื่อพูดถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในไทย AI กลายเป็นตัวแปรสำคัญที่หลายฝ่ายคาดหวังว่าจะขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน ล่าสุดมีการคาดการณ์ว่า GenAI จะสามารถทำให้ GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้นสูงถึง 6% ภายใน พ.ศ. 2573 โดยมีภาคการค้าและภาคการผลิตเป็นปัจจัยส่งเสริมที่แข็งแกร่งที่สุด ในขณะเดียวกัน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ก็ได้นำเสนอรายงานการคาดการณ์อนาคตเทคโนโลยีดิจิทัลประเทศไทย ที่ระบุว่า ตลาด AI ในประเทศไทยจะมีมูลค่าเติบโตสูงถึง 1.14 แสนล้านบาท ภายในปี 2573 ซึ่งเรียกได้ว่า เป็นโอกาสที่ดีที่ประเทศไทยอาจสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับภูมิภาคในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI
ถึงแม้จะมีศักยภาพที่ดีในการเติบโตทางด้าน AI แต่ประเทศไทยก็ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายเรื่อง ผลสำรวจพบว่าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ยังเผชิญกับปัญหาใหญ่ เช่น การขาดข้อมูลที่เป็นระบบและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่เพียงพอ หลายธุรกิจในภาคการค้าและก่อสร้างอาจต้องใช้เวลาอีก 2-5 ปี ในการเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งคำถามสำคัญคือ ประเทศไทยมีเวลาให้รอได้ขนาดนั้นหรือไม่?
จุดเปลี่ยนสำคัญ: จากนโยบายสู่การลงมือทำ
รัฐบาลไทยมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงการสนับสนุนการใช้ AI ในการเสริมศักยภาพภาคเกษตรกรรม และเพิ่มปริมาณการส่งออกไปยังตลาดจีน โดยจะมีการจัดทำนโยบายดิจิทัลใหม่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วน 30% ของ GDP ภายใน พ.ศ. 2573
นอกจากนี้ ทางรัฐบาลก็ยังได้สร้างแรงจูงใจให้กับบริษัทต่าง ๆ ด้วยการเสนอมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้สูงถึง 250% ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ลงทุนในการฝึกอบรมในด้าน STEM หรือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ให้แก่พนักงาน
ในส่วนของภาคเอกชน การลงทุนจากบริษัทระดับโลก ตั้งแต่ Google ที่ประกาศทุ่มทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 35,000 ล้านบาท เพื่อตั้ง Data Center และ Cloud Region ในไทย ถือเป็นโอกาสทองที่ช่วยเสริมศักยภาพการใช้งาน AI ในภาคธุรกิจไทย
การพัฒนาแรงงาน: สร้างความพร้อมเพื่อความยั่งยืน
ทักษะแรงงานถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องให้ความสำคัญ บริษัท Amazon Web Services (AWS) มุ่งมั่นที่จะฝึกอบรมในด้าน AI ให้กับแรงงานในประเทศไทยกว่า 100,000 คน ภายใน พ.ศ. 2569 ซึ่งมุ่งหวังที่จะแก้ไขช่องว่างของทักษะ และส่งเสริมให้แรงงานมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี AI โดย นายวัตสัน ถิรภัทรพงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ AWS ได้กล่าวว่า เมื่อแรงงานชาวไทยได้รับการฝึกอบรมในทักษะด้าน AI และองค์กรมีประสบการณ์ในด้าน AI มากขึ้น การใช้งาน AI และการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ก็จะมีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ในขณะเดียวกัน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) ได้ร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจากประเทศจีนอย่าง Huawei เพื่อลงทุนจัดตั้งศูนย์พัฒนาแรงงานด้าน AI และ Cloud ในประเทศไทย โดยโครงการนี้มีเป้าหมายในการฝึกอบรมแรงงานที่มีทักษะกว่า 50,000 คน ภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจของไทยได้มากถึง 6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ทั้งนั้น การลงทุนในคนอาจไม่ใช่แค่การสร้าง “แรงงานที่รู้จัก AI” แต่คือการสร้าง “แรงงานที่ใช้งาน AI ได้อย่างสร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ”
สร้างโอกาสในความท้าทาย
นายอามีร์ โซห์ราบี รองประธานฝ่ายภูมิภาคของบริษัทวิเคราะห์ AI ที่มีชื่อว่า SAS ชี้ให้เห็นถึงระดับความพร้อมที่แตกต่างกันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระบุว่าประเทศสิงคโปร์มีความก้าวหน้ามากกว่า ขณะที่ธุรกิจในไทยและมาเลเซียยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นถึงกลางของการนำ AI มาใช้
เขายังกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า แม้การเข้าถึงเครื่องมือ Generative AI จะทำให้เทคโนโลยีนี้ดูน่าตื่นเต้นในสายตาผู้บริโภค แต่การนำ AI เข้ามาใช้งานในองค์กรจริงนั้นจำเป็นต้องมีรากฐานข้อมูลที่แข็งแกร่งและกระบวนการที่มีโครงสร้างที่ชัดเจน หากข้อมูลที่ใช้มีคุณภาพต่ำหรือมีความผิดพลาด ผลลัพธ์ของ AI ก็จะบิดเบือนไปด้วย
ดังนั้น หากธุรกิจไทยต้องการก้าวนำ องค์กรต้องเริ่มจากการสร้างฐานข้อมูลที่แข็งแกร่ง และวางโครงสร้างที่เอื้อต่อการนำ AI มาใช้งานจริง เช่น การวางระบบ Data Governance และการพัฒนาวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
มาถึงจุดนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า AI คืออนาคตที่รออยู่ แต่การเติบโตต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน การพัฒนานโยบาย การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการสร้างแรงงานที่มีทักษะเชิงลึกจะเป็นกุญแจสำคัญ หากประเทศไทยสามารถก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ได้ เราจะไม่เพียงแค่ตามทัน แต่มีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค ซึ่งไม่เพียงสร้างผลลัพธ์ในเชิงตัวเลข แต่ยังช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับคนไทยในยุคดิจิทัลได้อีกด้วย