ในโลกปัจจุบันที่หลายสิ่งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมาก ในการปฏิวัติวงการการตลาด การันตีโดยรายงานของ McKinsey ในปี 2566 ที่ได้ประมาณการว่า AI สร้างเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลกว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีให้กับเศรษฐกิจโลก

โดยความสำเร็จนี้มาพร้อมกับการพัฒนาในด้านการตลาดของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย อีคอมเมิร์ซ หรือคอนเทนต์ออนไลน์ ซึ่งได้นำ AI มาสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ และยกระดับประสบการณ์การใช้งานของแพลตฟอร์มนั้น ๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของแพลตฟอร์มที่ใช้ AI คงหนีไม่พ้นแอปพลิเคชัน X ที่ได้เปิดตัวฟีเจอร์การตั้งค่าโฆษณาใหม่ไปเมื่อต้นปี 2567 โดยเป็นเครื่องมือการเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Targeting) ที่จะช่วยให้แคมเปญโฆษณาไปถึงหน้าจอของกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากขึ้นและง่ายดายขึ้น เพียงแค่ผู้โฆษณากรอกความต้องการเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ กิจกรรมที่อาจทำให้เกิดมูลค่า (Conversion Event) งบประมาณของโฆษณา รวมถึงเพศ อายุ และตำแหน่งที่ตั้งของกลุ่มเป้าหมาย

อีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญคือแอปพลิเคชัน TikTok ที่เพิ่งเปิดตัว AI ที่มีชื่อว่า “TikTok Symphony” ไปเมื่อกลางปี 2567 สำหรับเป็นพื้นที่รวบรวมเครื่องมือการสร้างสรรค์เอาไว้ในที่เดียว เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกผู้ใช้ในด้านการสร้างคอนเทนต์ โดย AI นี้สามารถช่วยเขียนสคริปต์ สร้างวิดีโอ และสร้างอวตารเสมือนจริงของผู้ใช้ได้ อีกทั้งยังมีเครื่องมือ “Symphony Creative Studio” ที่จะช่วยสร้างวิดีโอเพื่อจุดประสงค์ทางการตลาดที่พร้อมใช้งานอีกด้วย

ประโยชน์จากการใช้ AI เพื่อจุดประสงค์ทางการตลาด

1. ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน

เนื่องจากในแพลตฟอร์มต่าง ๆ มีข้อมูลอยู่มากมาย ที่ต่อคิวรอที่จะผ่านตาของผู้ใช้ จึงต้องนำ AI เข้ามาช่วยในการกรองคอนเทนต์ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ใช้ได้รับคอนเทนต์ ข้อเสนอ และการแนะนำที่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ใช้เห็นสินค้า และบริการใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มสตรีมมิงยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix และ Spotify ที่นำ AI มาใช้ในการสร้างการแนะนำคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจง โดยยึดตามความชอบ และพฤติกรรมของผู้ใช้

2. เพิ่มการมีส่วนร่วมและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้

AI ประเภท Generative AI สามารถสร้างแชตบอต (Chatbot) และผู้ช่วยเสมือนจริงที่จะช่วยตอบคำถามให้กับผู้ใช้ได้ในทันทีเมื่อผู้ใช้ต้องการความช่วยเหลือหรือมีข้อสงสัย ทำให้การสนับสนุนลูกค้า (Customer Support) ของแพลตฟอร์มนั้น ๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มค้าปลีกผลิตภัณฑ์ความงามระดับโลกอย่าง Sephora ที่มีแชตบอต AI คอยให้บริการตอบคำถามให้กับลูกค้านั่นเอง

3. รับรู้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้น

AI สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกของผู้บริโภคแก่นักการตลาด ไม่ว่าจะเป็นความชอบของผู้บริโภค หรือเทรนด์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ช่วยให้นักการตลาดสามารถคาดเดาเทรนด์ในอนาคต และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด ที่จะช่วยพัฒนาประสบการณ์การใช้งานของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทค้าปลีกรายใหญ่อย่าง Walmart และ Target ที่ใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภค เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความชอบและเทรนด์การซื้อสินค้าของผู้บริโภค

ข้อควรระวังสำหรับผู้บริโภค

1. การถูกละเมิดความเป็นส่วนตัว

ปฏิเสธไม่ได้ว่า AI อาศัยการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ และนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ซึ่งการเก็บข้อมูลก็ย่อมมาพร้อมกับความเสี่ยงของการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน

2. การชักจูงทางจิตวิทยา

การเสพโฆษณาที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ อาจส่งผลให้ผู้ใช้ถูกชักจูงแบบไม่รู้ตัว โดยสื่อโฆษณาอาจสามารถชักจูงให้ผู้ใช้เปลี่ยนพฤติกรรม หรือความคิดเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้

3. การสร้างความเจาะจงแบบเกินควร (Over-Personalization)

คอนเทนต์หรือโฆษณาที่เจาะจงจนเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้งานไม่ได้รับข้อมูลและมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งยังคงเป็นสิ่งที่หลายองค์กรละเลย ผลสำรวจจากบริษัทการตลาด Precis ระบุว่าผู้ใช้งาน 41% ตัดสินใจถอนความยินยอมที่เคยให้แบรนด์เข้าถึงข้อมูลส่วนตัว โดยกว่า 49% ในนั้นให้เหตุผลว่ามีโฆษณาจากแบรนด์นั้น ๆ มารบกวนบ่อยเกินไป

ในขณะที่นักการตลาดที่ใช้ AI ในการสร้างสรรค์เครื่องมือทางการตลาด ควรคำนึงถึงทั้งประสิทธิภาพ และความโปร่งใสในการเก็บข้อมูลของผู้ใช้ พวกเราเองในฐานะผู้บริโภคก็ควรรู้เท่าทันข้อดีและข้อเสียของ AI ในโลกของการตลาด เพื่อให้สามารถตัดสินใจใช้บริการและมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม หากทำได้เช่นนี้ เราก็จะสามารถดื่มด่ำกับประสบการณ์การใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่และปลอดภัย