ในปีที่ผ่านมา AI ได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยหนึ่งในเทคโนโลยีที่เริ่มเป็นที่พูดถึงมากขึ้นคือ ‘Agentic AI’ ซึ่งหมายถึงระบบ AI ที่สามารถตัดสินใจและทำงานได้อย่างอัตโนมัติ โดยรายงานของบริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำของโลกอย่าง Forrester ได้กล่าวว่า Agentic AI เป็นเทคโนโลยีที่มาแรงเป็นอันดับต้น ๆ ของ พ.ศ. 2567 เลยทีเดียว
จริงอยู่ว่า AI ทั่วไปเริ่มได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในหลายวงการแล้ว จึงไม่อาจนับว่าเป็นเรื่องใหม่ แต่สิ่งที่ทำให้ Agentic AI แตกต่างคือความสามารถในการทำงานที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องให้มนุษย์เข้ามาแทรกแซง ซึ่งหมายความว่า AI ตัวนี้สามารถวางแผน ตัดสินใจ และปรับตัวไปพร้อม ๆ กับดำเนินงานที่มีหลายขั้นตอนได้ ช่วยให้การทำงานและการตัดสินใจในองค์กรเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ โดยประโยชน์และความเป็นที่นิยมของ Agentic AI ได้รับการการันตีจากการที่บริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Salesforce, ServiceNow และ Microsoft ซึ่งต่างก็นำระบบดังกล่าวไปใช้ในแพลตฟอร์มของตนเอง
ศักยภาพของ Agentic AI
- ตัดสินใจเองได้แบบอัตโนมัติ (Autonomous Decision-Making)
Agentic AI สามารถตัดสินใจเองได้อย่างอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีมนุษย์เข้ามาแทรกแซง อีกทั้งยังสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ พิจารณาจากผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ และดำเนินการโดยอิงจากข้อมูลที่ได้มาแบบเรียลไทม์
- สามารถใช้ตรรกะวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Reasoning)
Agentic AI สามารถใช้ตรรกะในการวิเคราะห์ข้อมูล ทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมที่มีความซับซ้อน และสามารถเลือกแนวทางดำเนินการที่ดีที่สุดในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้อย่างเป็นลำดับขั้น
- เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ (Self-Learning and Improvement)
Agentic AI สามารถพัฒนาความสามารถในการตัดสินใจของตัวเองได้ โดยเรียนรู้จากข้อเสนอแนะ หรือการโต้ตอบ อีกทั้งยังปรับกลยุทธ์ของตัวเองเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอีกด้วย
ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้ Agentic AI จึงกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยจัดการปัญหาหรือสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ ทำให้การทำงานมีความรวดเร็วและแม่นยำ สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ความสามารถในการดำเนินการได้ด้วยตนเองของ Agentic AI ยังเปิดโอกาสให้สามารถประยุกต์ใช้ในหลากหลายสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น
- การตรวจจับภัยคุกคามและการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์
Agentic AI สามารถตรวจจับและตอบสนองต่อภัยคุกคามต่าง ๆ ได้อย่างอัตโนมัติและรวดเร็ว รวมถึงสามารถปรับปรุงมาตรการความปลอดภัยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลไกการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และสามารถป้องกันภัยความเสี่ยงทางไซเบอร์ที่พัฒนาขึ้นทุกวันได้
- ระบบงานภายในองค์กรที่มีความคล่องตัว
Agentic AI สามารถเข้ามาช่วยทำงานประจำวัน (Routine Tasks) ที่มีรูปแบบชัดเจน และต้องทำซ้ำบ่อย ๆ แทนมนุษย์ได้ เช่น การจัดการ Supply Chain ตามการคาดการณ์อุปสงค์และอุปทานแบบอัตโนมัติ ส่งผลให้กระบวนการต่าง ๆ ในองค์กรมีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถนำทรัพยากรบุคคลไปทำงานประเภทอื่นที่มีความซับซ้อนกว่า ซึ่งต้องใช้ทักษะในการแก้ไขปัญหา และความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์
- งานบริการลูกค้าแบบอัตโนมัติ
แม้หลายองค์กรจะนำบอตมาใช้ตอบคำถามในระบบบริการลูกค้ามาเป็นเวลานานแล้ว แต่ Agentic AI จะช่วยให้เครื่องมือเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยความสามารถในการตัดสินใจด้วยเหตุผล และเรียนรู้จากการโต้ตอบได้ ทำให้สามารถปรับปรุงการตอบสนองและคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจจึงสามารถมอบบริการที่มีความเฉพาะเจาะจงและเป็นเชิงรุกมากขึ้นได้ด้วย
Agentic AI ไม่เพียงแค่เปลี่ยนแปลงการทำงานในองค์กรเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและเติบโตได้อย่างรวดเร็วในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง การนำ Agentic AI มาใช้ในองค์กรไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยลดต้นทุนและเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจในทุก ๆ ด้าน ที่สำคัญคือ Agentic AI จะช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นไปที่งานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุด สุดท้ายแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่อนาคตที่ดีกว่าและยั่งยืนกว่าเดิม