ในยุคปัจจุบันที่แทบจะพูดได้ว่าเราใช้ชีวิตอยู่บนโลกออนไลน์มากพอ ๆ กับโลกแห่งความเป็นจริง มีข้อมูลปริมาณมหาศาลนับ 2.5 ล้านล้านล้านไบต์เกิดขึ้นทุกวันและวนเวียนอยู่ในพื้นที่ที่เรามองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ รูปถ่าย เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลอื่น ๆ ของเราที่อาจมาจากการอัปโหลดข้อมูลเหล่านั้นด้วยตัวเอง หรือจากประวัติการใช้งานเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่น การค้นหา การคลิก หรือแม้กระทั่งรูปแบบการเคลื่อนไหวเมาส์ ซึ่งไม่อาจทราบได้เลยว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปเปิดเผย จัดเก็บ และใช้งานโดยใครบ้าง
บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับข้อมูลส่วนบุคคลของคุณหลังถูกอัปโหลดลงไปบนโซเชียลมีเดีย และคุณจะปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร
จะเกิดอะไรขึ้นกับข้อมูลบนโลกออนไลน์
บนอินเทอร์เน็ต ข้อมูลส่วนบุคคลมากมายจะได้รับการเก็บบันทึกไว้ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ตั้งแต่ประวัติส่วนตัวคร่าว ๆ ที่กรอกกันเป็นประจำอย่างชื่อหรือรูปภาพ ไปจนถึงข้อมูลสำคัญอย่างตำแหน่งที่อยู่ ประวัติการค้นหาบนโซเชียลมีเดีย ประวัติการใช้จ่ายออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเวชระเบียนของคุณก็ถูกบันทึกไว้เช่นกัน ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้อาจถูกส่งต่อให้บุคคลที่ 3 เช่น นักวิจัย แฮกเกอร์ ผู้ประกอบการ บริษัทขายประกัน หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย หรือองค์กรต่างประเทศ นำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
ในขณะที่คุณสามารถใช้บริการเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียบนโลกออนไลน์ได้โดยไม่เสียเงิน ข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกบันทึกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน โดยบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้พัฒนาสินค้าและบริการของตัวเองเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น รูปถ่ายใบหน้าของเราอาจถูกนำไปเทรนกับ AI เพื่อให้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าประมวลผลได้แม่นยำ มอบประสบการณ์การใช้งานที่สะดวกและราบรื่นให้กับผู้บริโภคยิ่งขึ้น หรือจะเป็นข้อมูลความสนใจที่ได้จากพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตอาจทำให้มีโฆษณาหรือโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์เด้งขึ้นมาในโทรศัพท์ราวกับถูกออกแบบมาเพื่อผู้ใช้งานแต่ละคนโดยเฉพาะ เป็นต้น
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมจัดการกับข้อมูลของคุณอย่างไร
1. Facebook
ตามที่ระบุไว้ในเงื่อนไขและข้อตกลงการให้บริการ Facebook สามารถนำข้อมูลของคุณไปใช้งานได้ตามที่เห็นสมควร ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการใช้งาน ข้อมูลเพื่อน ผู้ติดตาม คอนเนกชั่นของคุณ ข้อมูลอุปกรณ์ที่คุณใช้ และข้อมูลจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เป็นพาร์ตเนอร์กับ Facebook ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกจัดเก็บเพื่อปรับปรุงบริการให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และอาจถูกส่งต่อให้บุคคลที่สาม เช่น ธุรกิจ หรือบริษัทโฆษณานำไปใช้งานต่อได้โดยไม่ผิดกฎหมาย
เงื่อนไขและข้อตกลงการให้บริการของ Facebook
2. Twitter
เช่นเดียวกันกับ Facebook Twitter เองก็สามารถเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบัญชีของคุณ ตลอดจนประวัติการใช้งาน อุปกรณ์ที่ใช้ ตำแหน่งที่ตั้ง และข้อมูลจากบุคคลที่สามที่ได้ทำการเก็บและส่งให้กับ Twitter เพื่อให้ Twitter สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้งาน ตลอดจนปรับปรุงบริการให้ตอบสนองความต้องการได้ดียิ่งขึ้น โดยระบุไว้ในเงื่อนไขการให้บริการไว้ว่า การที่คุณเลือกใช้บริการแพลตฟอร์มนี้หมายความว่าคุณยินยอมที่จะให้ Twitter ใช้และส่งต่อข้อมูลของคุณไปยังบุคคลที่สามได้อย่างถูกกฎหมาย
เงื่อนไขและข้อตกลงการให้บริการของ Twitter
3. Google
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ Google ก็ได้ระบุไว้ในข้อตกลงเช่นกันว่าจะมีการเก็บข้อมูลการใช้งาน หากเราเข้าใช้บริการต่าง ๆ ของ Google ไม่ว่าจะเป็น เว็บเบราว์เซอร์ Chrome บริการค้นหาข้อมูล หรือ Google Web Search และ Google Image Search รวมถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ อย่าง Gmail Google Map และ Youtube นอกจากนี้ Google ยังบันทึกประวัติการใช้งาน และตำแหน่งที่ตั้งระหว่างการใช้งาน ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกใช้ในการปรับปรุงบริการที่มีอยู่ของ Google และพัฒนาบริการใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งาน รวมถึงเสนอข้อมูลและโฆษณาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม Google ชี้แจงเอาไว้ว่าอาจมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคุณแก่บริษัท องค์กร หรือบุคคลภายนอกในกรณีที่ได้รับความยินยอมจากคุณ ผู้ดูแลระบบของคุณ หรือเพื่อเหตุผลทางกฎหมาย
นโยบายความเป็นส่วนตัวของ Google
จะปกป้องความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ได้อย่างไร
ในทางกฎหมาย ประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act: PDPA) เพื่อช่วยป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน โดยห้ามไม่ให้บริษัทเอกชนหรือหน่วยงานใดของรัฐจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลและนำไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล แต่ถึงแม้ว่าการขอใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งานอยู่ภายใต้เงื่อนไขของความยินยอม แต่รายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บข้อมูล การนำไปข้อมูลไปใช้งาน หรือการส่งต่อข้อมูลของผู้ให้บริการ มักจะแฝงอยู่ในข้อตกลงการให้บริการที่ยาวเหยียดและซับซ้อนซึ่งถูกมองข้ามไป ดังนั้นการตรวจสอบการตั้งค่าและนโยบายความเป็นส่วนตัวของแต่ละบริการที่คุณใช้งานบนอินเทอร์เน็ตอย่างถี่ถ้วนก่อนกดยินยอมให้ใช้ข้อมูลของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากนี้เรายังสามารถหลีกเลี่ยงการถูกติดตามข้อมูลในเบื้องต้นได้โดยการใช้งานเว็บเบราว์เซอร์ด้วยโหมดไม่ระบุตัวตน (Incognito Mode) หรือ เครือข่ายเสมือนส่วนบุคคล (Virtual Private Network: VPN) ไม่คลิกลิงก์แปลกปลอมที่ดูไม่น่าเชื่อถือ และหมั่นอัปเดตซอฟต์แวร์อยู่เสมอเพื่อลบช่องโหว่ใหม่ ๆ ของโปรแกรม
เราจะลบข้อมูลส่วนบุคคลบนอินเทอร์เน็ตได้หรือไม่
หลายคนอาจคิดว่าการตามลบข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตด้วยตัวเองจะทำให้ข้อมูลเหล่านั้นหายไปได้ แต่แท้จริงแล้วต่อให้ไล่ลบข้อมูลหรือประวัติการใช้งาน หรือแม้แต่เว็บไซต์นั้น ๆ จะแสดงผลว่าเราได้ลบพวกมันออกไปแล้วก็ตาม ข้อมูลเหล่านั้นก็ยังคงถูกจัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลเช่นเดิม เพราะบุคคลทั่วไปในฐานะผู้ใช้งานไม่สามารถควบคุมกระบวนการเก็บข้อมูลทั้งหมดได้ หากต้องการลบข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลของผู้ให้บริการ เราจำเป็นที่จะต้องติดต่อไปยังบริษัทที่ดูแลข้อมูลนั้น ๆ เพื่อขอลบข้อมูล หรือหากไม่ต้องการให้ข้อมูลส่วนบุคคลอยู่บนโลกออนไลน์อีกต่อไป ก็อาจทำได้ด้วยวิธีการลบอีเมลทั้งหมดที่มี แต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าข้อมูลจะหายไปแบบไม่เหลือร่องรอยบนอินเทอร์เน็ตเลยเสียทีเดียว
อย่างไรก็ตาม เราสามารถลดร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) ส่วนบุคคลได้ เริ่มจากการปิดบัญชีเก่า ๆ ลบแอปพลิเคชันที่ไม่ได้ใช้แล้ว เอาข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่จำเป็นออกจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ลงทะเบียนไว้ และอาจทำการยื่นขอให้เหล่าเว็บไซต์ที่เก็บและขายข้อมูลหรือที่เรียกว่า Data Broker ลบข้อมูลส่วนบุคคลออกจากระบบ
แม้การรักษาความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์จะดูเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนเกินกำลัง แต่อย่าเพิ่งยอมแพ้และมองข้ามเรื่องสำคัญเช่นนี้ไป เพราะถ้าหากเราใช้อินเทอร์เน็ตและจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างระมัดระวัง ความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ก็จะลดลงและสามารถใช้ประโยชน์จากโลกดิจิทัลที่เต็มไปด้วยความรู้ ความบันเทิง และบริการแสนสะดวกสบายได้อย่างไร้กังวล