‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ กับดักหนี้ของทีมติดผ่อน

August 8, 2025

Buy Now, Pay Later (BNPL) หรือ “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” กำลังกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมของคนไทยในยุคปัจจุบัน ด้วยข้อเสนออย่างดอกเบี้ย 0% และการผ่อนชำระที่ดูแสนสบาย

จากข้อมูลล่าสุด ตลาด BNPL ในประเทศไทยคาดว่าจะเติบโตถึง 14.9% ในปี 2568 มูลค่าตลาดจะสูงถึง 3.94 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 127.5 แสนล้านบาท) และจะขยายตัวต่อเนื่องที่อัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 10.9% ไปจนถึงปี 2573

การเติบโตนี้มาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะการชอปปิงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบัน การผ่อนชำระกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยม คิดเป็นถึง 40% ของยอดซื้อผ่านช่องทางโซเชียลคอมเมิร์ซทั้งหมด โดยเฉพาะสินค้าประเภทแฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในบ้าน

แต่ภายใต้ความสะดวกสบายของบริการนี้ กลับแฝงความเสี่ยงทางการเงินที่หลายคนอาจไม่ทันระวัง

ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง ทำงานอย่างไร?

BNPL คือบริการที่ให้ผู้ซื้อสามารถผ่อนชำระค่าสินค้าได้ โดยไม่ต้องจ่ายเงินก้อนเต็มจำนวนในทันที ลำดับขั้นตอนโดยทั่วไป คือ

  • ผู้ซื้อเลือกชำระค่าสินค้าและบริการด้วยวิธี BNLP
  • ผู้ให้บริการอนุมัติเครดิตอย่างรวดเร็ว (มักตรวจสอบข้อมูลเพียงเล็กน้อย)
  • ผู้ซื้อสามารถเลือกจ่ายเต็มจำนวนในเดือนถัดไป หรือผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ได้
  • ระบบจะหักเงินโดยอัตโนมัติจากบัญชีธนาคารหรือ e-wallet ที่ผูกไว้

แม้บางแผนผ่อนชำระจะมีดอกเบี้ย 0% แต่โดยทั่วไปแล้ว แผนระยะยาว (2, 3 หรือ 5 เดือน) มักมีดอกเบี้ยอยู่ที่ 15% ถึง 25% ต่อปี และหากผิดนัดชำระ อาจถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราเดียวกัน

ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

BNPL เป็นทางเลือกที่เข้าถึงง่าย และสะดวกสบาย แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่ผู้บริโภคควรระวัง เพราะผู้ใช้หลายคนอาจเริ่มชินกับพฤติกรรมการผ่อนชำระโดยไม่จำเป็น ใช้จ่ายเกินตัวมากขึ้น และอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังก่อหนี้ โดยเฉพาะเมื่อผ่อนสินค้าหลายรายการพร้อมกันผ่านหลายแพลตฟอร์ม ข้อมูลในสหราชอาณาจักรเปิดเผยว่า ในช่วง 12 เดือนก่อนถึงเดือนพฤษภาคม 2567 มีประชาชนกว่า 10.9 ล้านคนที่ใช้บริการ BNPL โดยในจำนวนนั้นกว่า 1.1 ล้านคนมีหนี้ค้างชำระมากกว่า 500 ปอนด์ (ประมาณ 22,000 บาท) และอีก 5.3 ล้านคนมีหนี้ค้างชำระมากกว่า 50 ปอนด์ (ประมาณ 2,200 บาท)

แนวโน้มนี้เริ่มปรากฏในประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งยิ่งน่ากังวล เพราะประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 89% ของ GDP นับว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย การใช้ BNPL โดยไม่ระวังอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งรายงานจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของผู้ใช้ BNPL มีรายได้ในระดับนี้

นอกจากนี้ ผู้ให้บริการบางราย เช่น SPayLater เริ่มรายงานข้อมูลผู้ใช้ต่อเครดิตบูโรแล้ว ซึ่งหมายความว่าการผิดนัดชำระอาจส่งผลต่อประวัติเครดิต ทำให้การขอสินเชื่อในอนาคต เช่น สินเชื่อบ้านหรือรถยนต์ ยากขึ้น

แม้แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้แสดงความกังวลถึงความเสี่ยงด้านการสร้างหนี้ รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัวของผู้บริโภค และกำลังจับตาดูการเติบโตของ BNPL เพื่อให้แน่ใจว่ามีการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ โดยได้ออกแนวปฏิบัติใหม่ เช่น การเปิดเผยเงื่อนไขอย่างชัดเจน การประเมินความสามารถในการชำระหนี้ และมาตรฐานการโฆษณาที่ลดการชี้ชวนหรือสนับสนุนให้ผ่อนชำระ เพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภคและบรรเทาปัญหาหนี้ครัวเรือน

สะดวกได้ แต่อย่าชะล่าใจเกินไป

ด้วยภาวะเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น และรายได้ไม่สอดคล้องกับการใช้จ่าย หลายคนจึงมองว่า BNPL คือคำตอบที่ช่วยแบ่งเบาภาระ การเติบโตของอีคอมเมิร์ซและความต้องการความยืดหยุ่นในการชำระเงินจะผลักดันให้ BNPL ขยายตัวต่อไป ส่วนผู้ให้บริการก็จะแข่งขันกันด้วยการพัฒนานวัตกรรมและสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ เช่น การร่วมมือกับธนาคารหรือแพลตฟอร์มชอปปิงออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าใหม่

ในขณะเดียวกัน ทางเลือกอันแสนสะดวกสบายนี้อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้ผู้บริโภคสะสมหนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว ดังนั้น วินัยทางการเงิน การให้ความรู้ ความโปร่งใสในการเปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย และการกำกับดูแลที่เหมาะสม คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้ BNPL เป็นเครื่องมือที่ยั่งยืนสำหรับทั้งผู้บริโภคและธุรกิจ เป็นตัวช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ไม่ใช่ต้นตอของปัญหาหนี้ครัวเรือนระยะยาว

Share this article

Subscribe to InnoHub!

Stay updated and inspired

เรานำข้อมูลมาใช้เพื่อการส่งมอบคอนเทนต์และบริการอย่างเหมาะสม เราจะปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Privacy Policy และคลิกสมัครเพื่อดำเนินการต่อ