เคยสังเกตไหมว่าทำไมราคาตั๋วเครื่องบินช่วงวันทำงานถูกกว่า? หรือทำไมค่าบริการเรียกรถแกร็บถึงพุ่งสูงในช่วงฝนตก? แม้แต่สินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์ที่คุณเพิ่งดูเมื่อวานก็อาจขึ้นราคาในวันนี้ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากกลไกเบื้องหลังที่เรียกว่า Dynamic Pricing ซึ่งกำลังปฏิวัติวงการค้าปลีก การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ธุรกิจปรับราคาได้แบบเรียลไทม์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและเพิ่มกำไร แต่ในขณะเดียวกันก็มาพร้อมความท้าทายด้านความโปร่งใสและความไว้วางใจจากผู้บริโภค ในบทความนี้ InnoHub ขอพาทุกคนไปเจาะลึกว่าเทคโนโลยีนี้คืออะไร ทำงานอย่างไร และส่งผลต่อผู้บริโภคอย่างไรบ้าง
Dynamic Pricing คืออะไร และทำงานอย่างไร?
Dynamic Pricing คือกลยุทธ์ที่ธุรกิจใช้ในการปรับราคาสินค้าหรือบริการแบบเรียลไทม์ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความต้องการของลูกค้า (Demand), อุปทาน (Supply), ราคาของคู่แข่ง, พฤติกรรมผู้บริโภค, หรือแม้แต่สภาพอากาศ เทคโนโลยีนี้ขับเคลื่อนด้วย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของคอมพิวเตอร์ (Machine Learning) ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาล เช่น แนวโน้มของตลาด สต็อกสินค้า ประวัติการค้นหาของผู้ใช้ และข้อมูลอื่น ๆ เพื่อกำหนดราคาที่เหมาะสมที่สุดในเสี้ยววินาที
ตัวอย่างการใช้งานจริงในหลากหลายอุตสาหกรรม
Dynamic Pricing ถูกนำไปใช้ในหลายอุตสาหกรรมทั่วโลกเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย ทำให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น
- ค้าปลีกออนไลน์
Amazon ปรับราคาสินค้ามากถึง 2.5 ล้านครั้งต่อวัน เพื่อให้ราคาแข่งขันได้ในช่วงเทศกาลชอปปิง เช่น Black Friday ส่วนในประเทศไทย แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada ก็มีการใช้เทคนิค Dynamic Pricing ในช่วงแคมเปญใหญ่ เช่น 11.11 หรือ 12.12 โดยอัลกอริทึมจะวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์และปรับราคาให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา - ร้านอาหารและบริการ
ในปี 2568 Wendy’s แบรนด์ฟาสต์ฟู้ดในสหรัฐฯ วางแผนใช้แผ่นป้ายเมนูดิจิทัลที่สามารถปรับเมนูและราคาอาหารแบบอัตโนมัติตามช่วงเวลา รวมถึงเสนอส่วนลดในช่วงที่มีลูกค้ามาใช้บริการน้อย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ผสมผสานความยืดหยุ่นในการตั้งราคาเข้ากับพฤติกรรมการกินของผู้บริโภค - การเดินทางและท่องเที่ยว
Uber ใช้การกำหนดราคาแบบ Dynamic Pricing ในการปรับค่าโดยสารตามระยะทาง โดยคำนวณราคาค่าโดยสารจากหลายปัจจัย เช่น ความต้องการใช้งานในแต่ละช่วงเวลา ระยะทางที่ผู้โดยสารต้องการเดินทาง ความหนาแน่นของรถที่ว่างอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ รวมถึงสภาพการจราจรและสภาพอากาศ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในแต่ละช่วงเวลา
ลูกค้าได้ดีลที่ใช่ ธุรกิจได้กำไรที่คุ้ม
สำหรับผู้บริโภค ระบบ Dynamic Pricing อาจเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ซื้อสินค้าหรือบริการในราคาที่ถูกลงในช่วงที่ความต้องการต่ำ เช่น การจองโรงแรมในวันธรรมดา ซึ่งมักจะได้รับส่วนลดหรือราคาที่ถูกกว่าปกติ
สำหรับฝั่งธุรกิจ ระบบนี้ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว มีโอกาสเพิ่มกำไรในช่วงที่ความต้องการสูง เช่น ช่วงวันหยุดหรือเทศกาล โดยไม่ต้องลดราคาทั้งปี และยังช่วยจัดการสต็อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การลดราคาสินค้าที่ใกล้หมดอายุหรือเคลียร์สินค้าค้างสต็อก
ราคาเปลี่ยนได้ แต่ความเชื่อใจจากลูกค้า…เปลี่ยนยาก
แม้ Dynamic Pricing จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่อาจส่งผลต่อความไว้วางใจของผู้บริโภคได้ หากธุรกิจใช้ระบบนี้โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้บริโภค หรือปล่อยให้ระบบอัลกอริทึมตั้งราคาเกินความเป็นธรรม อาจสร้างความไม่พอใจ และกระทบต่อความเชื่อมั่นในระยะยาว
ตัวอย่างเช่น กรณีการขายบัตรคอนเสิร์ต Oasis ในสหราชอาณาจักรที่ใช้ระบบปรับราคาตามอัตราความต้องการซื้อของผู้บริโภค ทำให้ราคาบัตรพุ่งสูงเกินจริงจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากแฟน ๆ ว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค
ดังนั้นแล้ว ความเป็นธรรม ความโปร่งใส และการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมากับผู้บริโภค คือหัวใจสำคัญที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม
กุญแจของธุรกิจยุคใหม่ ถ้าใช้ให้ถูกทาง
Dynamic Pricing คือเทคโนโลยีลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแคมเปญใหญ่ในวงการค้าปลีก การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมอื่น ๆ ด้วยพลังของ AI และการวิเคราะห์ข้อมูล ธุรกิจสามารถเพิ่มกำไร รักษาความสามารถในการแข่งขัน และตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์
แต่การจะใช้กลยุทธ์นี้อย่างยั่งยืน ธุรกิจต้องเข้าใจบริบทของตลาดและพฤติกรรมของผู้ใช้ ไม่ใช่แค่พึ่งพาอัลกอริทึมเพียงอย่างเดียว การใส่ใจต่อความรู้สึกของผู้บริโภค และความโปร่งใสในการตั้งราคา คือสิ่งที่จะช่วยรักษาความไว้วางใจและความสัมพันธ์ระยะยาวได้