ในยุคปัจจุบันที่ความเครียดด้านการเงินกลายเป็นปัญหาสำคัญของพนักงาน หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตและสุขภาพกายของพนักงานมากขึ้น แต่ยังมีอีกหนึ่งเสาหลักที่มักถูกมองข้ามคือ “สุขภาพทางการเงิน” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ตัวอย่างในประเทศไทยแสดงให้เห็นปัญหาที่ชัดเจน 67% ของคนไทยมีหนี้ที่ไม่สามารถลดหย่อนได้ และ 1 ใน 5 ของคนไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่มีหนี้เสียหรือ NPL (Non-Performing Loan) ซึ่งสะท้อนถึงการขาดการวางแผนการเงินในระยะยาวอย่างชัดเจน
ความสำคัญของสุขภาพทางการเงินจึงไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในยุคที่พนักงานต้องการความมั่นคงในทุกมิติ องค์กรที่สามารถสนับสนุนด้านการเงินให้กับพนักงานได้ ย่อมได้เปรียบในเรื่องของการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถให้อยากเข้ามาทำงาน
นอกจากนี้ รายงานจาก McKinsey & Company ยังชี้ว่า การส่งเสริมสุขภาพทางการเงินถือเป็นกลยุทธ์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อประสิทธิภาพขององค์กรโดยรวมอีกด้วย เพราะสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากถึง 3.7 ล้านล้านถึง 11.7 ล้านล้านดอลลาร์ หากองค์กรต่าง ๆ ดำเนินการส่งเสริมสุขภาพทางการเงินของพนักงานอย่างจริงจัง
ต้นทุนที่ซ่อนอยู่: เมื่อความเครียดเรื่องเงินลามมาถึงที่ทำงาน
ความเครียดด้านการเงินไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพจิตของพนักงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการทำงาน ผลสำรวจพบว่ากว่า 61% ของพนักงานรู้สึกเครียดกับการเงินอยู่ตลอดเวลา และ 50% ของพนักงานยอมรับว่าความเครียดด้านการเงินลดทอนประสิทธิภาพในการทำงานโดยตรง
นอกจากนี้ ความเครียดยังส่งผลต่อความเหนื่อยล้าทางจิตใจ โดย 84% ระบุว่าความกังวลเรื่องการเงินเป็นสาเหตุของภาวะหมดไฟ (Burnout) สอดคล้องกับการวิจัยของ Wagestream ที่ชี้ว่า ความเครียดด้านการเงินสามารถลด IQ ลงได้ 10-13 จุด ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพและสมาธิในการทำงาน
การส่งเสริมความรู้ทางการเงิน คือการลงทุนที่คืนกำไรกลับสู่องค์กร
การลงทุนในความรู้ทางการเงินสำหรับพนักงานไม่ใช่เพียงการช่วยให้พวกเขาจัดการชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น แต่ยังเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” ที่สร้างผลตอบแทนสูงให้กับองค์กรและสร้างผลกระทบเชิงบวกในหลาย ๆ ด้าน เช่น
ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
งานวิจัยพบว่าองค์กรที่ลงทุนในโปรแกรมสุขภาพทางการเงินของพนักงานได้รับผลตอบแทนประมาณ 200 บาท ต่อทุก 30 บาทที่ลงทุนไป เป็นผลมาจากอัตราการขาดงานที่ลดลงและประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น
การตัดสินใจที่ดีขึ้น
พนักงานที่มีความมั่นใจด้านการเงินสามารถตัดสินใจได้ละเอียดรอบคอบ รับมือกับสถานการณ์ที่มีความกดดันได้ดีกว่า และมักจะมีความจงรักภักดีต่อองค์กรสูงกว่า
ส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
พนักงานกลุ่ม Gen Z และ Millennial ให้ความสำคัญกับองค์กรที่ใส่ใจสุขภาพทางการเงิน การเสนอโปรแกรมในด้านนี้แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานในระยะยาว เป็นจุดสำคัญที่ดึงดูดบุคลากรรุ่นใหม่และช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์องค์กรในเชิงบวก
สิ่งที่องค์กรสามารถทำได้
1. จัดเวิร์กช็อปและสัมมนา
องค์กรสามารถจัดเวิร์กช็อปในหัวข้อสำคัญเกี่ยวกับการเงิน เช่น การวางแผนงบประมาณ การจัดการหนี้ หรือพื้นฐานการลงทุน โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกหรือโค้ชด้านการเงินที่ได้รับการรับรองมาให้ความรู้ ข้อแนะนำต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับพนักงานแต่ละกลุ่ม
2. ส่งเสริมการเรียนรู้แบบย่อย
ส่งเสริมการเรียนรู้ในระยะเวลาสั้น ๆ (Microlearning) ผ่านอีเมล ข้อความ หรือแพลตฟอร์มการพูดคุยสื่อสารภายในองค์กร โดยแบ่งปันคำแนะนำ วิดีโอคลิป หรือเนื้อหาสั้น ๆ ที่เข้าใจง่าย เพื่อปูทางให้พนักงานสามารถนำไปปรับใช้หรือต่อยอดในชีวิตประจำวัน
3. สร้างแหล่งข้อมูลกลางที่เข้าถึงง่าย
รวบรวมเทมเพลต เช็กลิสต์ และเครื่องมือวางแผนการเงินไว้ในแฟ้มข้อมูลส่วนกลางหรือแพลตฟอร์มที่พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอดเวลา
4. ใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
แทนที่จะปล่อยให้กองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นแค่สิทธิประโยชน์ที่พนักงานรอรับโดยไม่เข้าใจถึงคุณค่า องค์กรสามารถนำเสนอภาพจำลองการเติบโตหรือกราฟิกที่เข้าใจง่าย เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงผลลัพธ์ในระยะยาวของสิทธิประโยชน์เหล่านี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
5. ส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรที่ใส่ใจการเงิน
บริษัทที่ส่งเสริมสุขภาพทางการเงินจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของพนักงานในระยะยาว ทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยในที่ทำงาน ลดความเครียดที่อาจเกิดจากปัญหาทางการเงิน และกระตุ้นให้พนักงานมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายขององค์กรได้ดียิ่งขึ้น
ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ความรู้ทางการเงินไม่ใช่แค่ทักษะเสริม แต่คือหนึ่งในหัวใจของการสร้างทีมที่แข็งแรง และพร้อมเติบโตไปกับองค์กร
ไม่เท่านั้น ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดแรงงานที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ การเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้กับพนักงาน อาจกลายเป็นจุดต่างที่ทรงพลังที่สุด เพราะเมื่อองค์กรช่วยให้พนักงานมีความมั่นคงในชีวิต พวกเขาก็จะสามารถมีส่วนร่วมกับเป้าหมายขององค์กรได้อย่างเต็มที่ นับเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของทั้งพนักงานและองค์กร