ทุกวันนี้เทคโนโลยีใหม่ ๆ นั้นฉลาดและใกล้ตัวเรามากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่แว่นตาที่มีกล้องในตัว บ้านที่สั่งงานได้ด้วยเสียง ไปจนถึงผู้ช่วย AI ที่คอยตอบคำถามแทบจะ 24 ชั่วโมง โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างต้องสะดวก ลื่นไหล ใช้ได้ทันทีโดยไม่ต้องคิดเยอะ
และมันได้ผลจริง ๆ เพราะตลาดอุปกรณ์ AI แบบสวมใส่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด มูลค่าตลาดทั่วโลกมีแนวโน้มจะพุ่งไปแตะ 3.04 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2578 จากประมาณ 2.36 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 ในขณะเดียวกัน ยอดขายสมาร์ตวอตช์ทั่วโลกของ Huawei เองก็ทะลุ 200 ล้านเรือนไปเรียบร้อยแล้ว
เทคโนโลยีที่ติดตัวเราอยู่ตลอดเวลากำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ผู้คนรู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้สึกแปลกแยกเหมือนเมื่อก่อน จนอาจลืมไปว่าข้อมูลการออกกำลังกาย ตำแหน่ง หรือแม้กระทั่งระดับความเครียดของผู้ใช้ก็จะถูกรวบรวม วิเคราะห์ และจัดเก็บอย่างต่อเนื่อง
Luxury Surveillance สินค้าแฟชั่นกับการสอดส่อง
นักวิชาการด้านความเป็นส่วนตัวอย่าง Dr. Chris Gilliard ได้บัญญัติคำว่า Luxury Surveillance เพื่ออธิบายอุปกรณ์ที่ทำให้ “การสอดส่องผู้ใช้งาน” กลายเป็นของเท่ ของมีสไตล์ และเป็นที่ยอมรับในสังคม
ตัวอย่างเช่น กล้องวงจรปิดอย่าง Amazon Ring ที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันนิยมติดตั้งไว้ที่หน้าประตูบ้าน ถูกออกแบบมาให้ใช้ง่าย สวยงาม และดูล้ำสมัยจนบางครั้งคนอาจมองข้ามไปว่าสิ่งเหล่านี้คืออุปกรณ์ที่สามารถบันทึกภาพและเสียงได้แบบเรียลไทม์และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามได้เช่นกัน
เมื่อเดือนตุลาคม 2568 ก็มีข่าวดังในสหรัฐฯ ที่มหาวิทยาลัยต้องออกประกาศเตือน เพราะมีคนใช้แว่น Meta Ray-Ban Display แอบถ่ายผู้หญิงในพื้นที่มหาวิทยาลัยโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว เหตุการณ์แบบนี้กำลังเกิดขึ้นเรื่อย ๆ และสะท้อนว่ากติกาทางสังคมของเราอาจจะตามความเร็วของเทคโนโลยีไม่ทันแล้วจริง ๆ
เทคโนโลยีโตไว แต่กฎหมายอาจก้าวไม่ทัน
ถึงแม้หลาย ๆ ประเทศจะมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแล้ว แต่กฎหมายมักเดินช้ากว่าเทคโนโลยีเสมอ ตัวอย่างชัดเจนคือประเทศไทยที่เพิ่งมีการลงโทษตาม PDPA ครั้งแรกในปี 2567 ในขณะที่อุปกรณ์กล้องอัจฉริยะจากต่างประเทศเข้ามาวางขายตั้งแต่ก่อนหน้านั้นหลายปี แน่นอนว่ากรอบกฎหมายอย่าง GDPR ของยุโรป หรือ PDPA ในหลายประเทศทั่วเอเชียช่วยยกระดับการคุ้มครองข้อมูลได้มาก แต่ในทางปฏิบัติ กฎหมายไม่สามารถตามความเร็วของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ของบริษัทเทคได้ทันเสมอไป
อีกด้านหนึ่งคือพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนเร็วแบบคาดไม่ถึง นักสังคมวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “การทำให้การสอดส่องกลายเป็นเรื่องปกติ” (Normalization of Surveillance) คือเมื่อเทคโนโลยีเริ่มสะดวกขึ้น ถูกนำมาใช้บ่อยและแพร่หลายขึ้น เราก็จะเริ่มชิน และเลิกตั้งคำถามไปเองว่าเทคโนโลยีเหล่านั้นเก็บข้อมูลอะไรไปบ้าง
ตัวอย่างเช่นพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) และระบบตรวจจับอัจฉริยะในไทย มีข้อมูลว่า ณ ต้นปี 2568 บ้านที่ติดตั้งอุปกรณ์บ้านอัจฉริยะแล้วกว่า 3.65 ล้านหลัง เพิ่มขึ้นประมาณ 12% จากปีก่อนหน้า ตัวเลขนี้สะท้อนว่าเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกกำลังแทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อสิ่งเหล่านี้กลายเป็นนิสัย เราอาจไม่ทันระวังว่าข้อมูลส่วนตัวของเราถูกเก็บหรือใช้ในรูปแบบใด
จะเดินหน้าต่ออย่างไร ให้ทั้งสะดวกและปลอดภัย
เมื่อเทคโนโลยีฉลาดขึ้น ใกล้ตัวขึ้น และอยู่กับเราตั้งแต่ตื่นจนหลับ สิ่งที่สำคัญไม่ใช่แค่ให้มันเร็วขึ้น แต่ยังต้องปลอดภัย รวมถึงน่าเชื่อถือขึ้นด้วย
สำหรับนักออกแบบและนักพัฒนา การสร้างสัญญาณบอกสถานะที่ชัดเจนเวลามีการบันทึก ใช้ค่าตั้งต้นที่ปลอดภัย และบอกผู้ใช้ให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าข้อมูลจะไปที่ไหน ถูกใช้ทำอะไร คือจุดเริ่มต้นสำคัญ
สำหรับธุรกิจ การมองความเป็นส่วนตัวเป็น “จุดขาย” มากกว่าจะเป็น “ต้นทุน” จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกว่า
และสำหรับผู้ใช้ทั่วไป การตรวจสอบการตั้งค่าของอุปกรณ์ ปิดฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น และกล้าปฏิเสธเมื่อไม่อยากถูกเก็บข้อมูล ล้วนช่วยปกป้องทั้งตัวเองและคนรอบข้างได้มากกว่าที่คิด
ตัวอย่างเชิงบวกมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ระบบ Face ID ของ Apple ที่ประมวลผลข้อมูลบนอุปกรณ์โดยไม่ต้องส่งขึ้นคลาวด์ หรือสถาปัตยกรรมข้อมูล Smart Nation ของสิงคโปร์ที่ออกแบบให้เรื่องความเป็นส่วนตัวฝังอยู่ในโครงสร้างตั้งแต่แรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่าความสะดวกและความปลอดภัยสามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ท้ายที่สุดแล้ว เทคโนโลยีแบบ Luxury Surveillance อาจจะเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่กำหนดว่าใครจะไปได้ไกลกว่าไม่ใช่แค่ความเร็วของนวัตกรรมเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการสร้างความสบายใจให้กับผู้ใช้งานด้วย