3 เหตุผลสำคัญที่สตาร์ทอัพต้องหันมาใส่ใจหลักการ ESG
ปัจจุบันองค์กรขนาดใหญ่หลายแห่งทั่วโลกกำลังนำหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ Environmental, Social, and Governance (ESG) มาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เนื่องจากแนวคิดนี้จะสนับสนุนให้ธุรกิจเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ และยังส่งผลเชิงบวกต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงเคารพสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และมีความโปร่งใสตรวจสอบได้
อย่างไรก็ตาม มีสตาร์ทอัพในระยะเริ่มต้นเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่นำหลักการ ESG มาประยุกต์และปรับใช้ในการพัฒนาโมเดลธุรกิจของตัวเอง เพราะสตาร์ทอัพส่วนใหญ่มีทรัพยากรอยู่อย่างจำกัด ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุนและจำนวนพนักงาน จึงมักมองว่าหลักการ ESG เป็นสิ่งฟุ่มเฟือยและเหมาะกับบริษัทขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งมานานและมีความพร้อมมากกว่า
แต่รู้หรือไม่ว่าหลักการนี้มีประโยชน์มากกว่าที่คิด วันนี้ InnoHub ขอหยิบยกเหตุผล 3 ข้อ เพื่อชี้ให้เห็นว่า จริง ๆ แล้วนั้นการดำเนินธุรกิจตามแนวทาง ESG จะสามารถขับเคลื่อนให้สตาร์ทอัพทุกแห่งและทุกขนาดเติบโตอย่างมั่นคงได้ในระยะยาว
1. ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมากขึ้น
ประโยชน์ข้อแรกของการดำเนินธุรกิจด้วยหลัก ESG คือ สตาร์ทอัพของคุณจะสามารถดึงดูดเงินทุนสนับสนุนจากนักลงทุนหลากหลายประเภทได้ง่ายขึ้น โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Venture Capital (VC) ชั้นนำหลายแห่งเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับหลักการ ESG และเลือกลงทุนกับบริษัทที่ยึดมั่นในนโยบายด้านนี้กันมากขึ้น เช่น 500 Startups ที่ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้าน ESG Tracy Barba มาช่วยดูแลธุรกิจในเครือโดยเฉพาะ
นอกจากนี้ งานวิจัยจาก Harvard Business Review ยังพบว่าความหลากหลายของทีมบริหารใน VC ช่วยเพิ่มความสำเร็จและผลตอบแทนจากการลงทุนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย เมื่อประกอบกับตัวเลขการเติบโตของกองทุนรวม ESG ที่พุ่งทะยานทั่วโลกแล้ว ก็คงคาดการณ์ได้ว่าทั้งเม็ดเงินและความสนใจของนักลงทุนหลายคนจะตกอยู่กับบริษัทที่คำนึกถึงหลัก ESG อย่างแน่นอน
โดยทั่วไปนักลงทุนมักจะเลือกทำงานกับบริษัทที่มีความเชื่อและมีค่านิยมที่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าสตาร์ทอัพของคุณนำนโยบาย ESG มาใช้ ก็สามารถบ่งบอกได้ถึงความมุ่งมั่นและจริงใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและแก้ปัญหาทางสังคม ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุนและพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจคนอื่น ๆ ที่มีค่านิยมเดียวกัน ให้มาร่วมปลุกปั้นสตาร์ทอัพไปสู่ความสำเร็จด้วยกันในอนาคต
2. ช่วยเพิ่มรายได้
การคำนึงถึงสังคมส่วนรวม สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน จะทำให้สตาร์ทอัพของคุณดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้นเพราะในปัจจุบันผู้บริโภคไม่ได้คำนึงถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ หรือราคาที่ถูกที่สุดอย่างเดียวแล้ว พวกเขาเลือกสนับสนุนแบรนด์จากการสังเกตคำพูด การกระทำ และเป้าหมายของแบรนด์ ที่สอดคล้องกับความเชื่อและค่านิยมที่ตัวเองยึดถือด้วยเช่นกัน
จากผลสำรวจและงานวิจัยหลายแห่ง เช่น The Economist Intelligence Unit และ IBM ต่างชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคยุคใหม่จำนวนมากกังวลเรื่องสภาพแวดล้อม และต้องการเห็นภาคธุรกิจมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วย 57% ของผู้บริโภคถึงขั้นยอมเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเองเพื่อช่วยลดผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมเลยทีเดียว
งานวิจัยข้างต้นยังสอดคล้องกับผลสำรวจจาก Venture Capital ระดับโลกอย่าง 500 Startups ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพหลายแห่ง โดยพวกเขาพบว่า ในบรรดาเจ้าของกิจการ 109 คน มีจำนวนสูงถึง 69% ที่เชื่อว่าการยึดมั่นในหลักการ ESG จะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทของตัวเองและช่วยพาให้กิจการเจริญเติบโต
3. ลดอัตราการออกจากงาน (Turn Over Rate)
บริษัทสตาร์ทอัพมี Turn Over Rate หรืออัตราการลาออกของพนักงานในบริษัท 25% ซึ่งสูงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยจากบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกที่ 10.9% การที่พนักงานออกจากบริษัทบ่อยครั้งเช่นนี้ย่อมส่งผลเสียต่อการเติบโตของธุรกิจ เพราะพนักงานเก่ง ๆ และมีประสบการณ์ทำงานจนเชี่ยวชาญแล้วก็เปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่คอยขับเคลื่อนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัท
แต่ทว่าการนำหลักการ ESG เข้ามาปรับใช้กับสตาร์ทอัพจะช่วยให้พนักงานอยู่กับบริษัทได้นานขึ้น เพราะในปัจจุบันผู้คนจำนวนมากล้วนต้องการทำงานให้กับบริษัทที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคนกลุ่ม Millennials ที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2539 ที่กว่า 40% ของกลุ่มคนนี้เลือกที่จะทำงานกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตามแนวทางด้านความยั่งยืน
จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อข้างต้น จะเห็นได้ว่าหลักการเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคมนี้ล้วนมีความสำคัญต่อทั้งนักลงทุน ผู้บริโภค และพนักงานในองค์กร InnoHub จึงขอแนะนำให้สตาร์ทอัพทำความเข้าใจเรื่อง ESG และนำไปปรับใช้กับธุรกิจเพื่อเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป