Biometric Payment : เมื่อตัวคุณคือรหัสผ่าน
เมื่อธุรกรรมออนไลน์นำข้อมูลในร่างกายของเราผสานเข้ากับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เป็นการใช้รหัสทางชีวภาพ (Biometric) ตั้งแต่ลายนิ้วมือ ใบหน้า ดวงตา ลักษณะท่าทาง และเสียง มารักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในชีวิตประจำวันและไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อีกต่อไปแล้ว เพราะเป็นวิทยาการที่ใช้กันทั่วไปในมือถือ หรือระบบป้องกันความปลอดภัย แต่คอนเซ็ปต์การสแกนนิ้วมือหรือใบหน้า เพื่อจ่ายเงินหรือทำธุรกรรมต่างๆ (Biometric Payment) เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 2017 วิทยาการนี้อาจพลิกโฉมความเป็นอยู่หลายอย่างของเราเลยก็ได้!
ตัวอย่าง Biometric Payment ที่เห็นชัดที่สุดคือ บริษัท Face++ ประเทศจีน ก่อตั้งปี 2017 ได้พัฒนาเทคโนโลยี Face Landmark สามารถสแกนใบหน้าคนได้แบบ 3 มิติ พร้อมดึงจุดเด่นของแต่ละใบหน้าเพื่อความแม่นยำในการจดจำและแยกแยะใบหน้า ซึ่งในปีนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนหลายแห่งได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ เพราะเหมาะกับประเทศที่มีประชากรมหาศาล และมีชีวิตเร่งรีบ ทำให้มูลค่าของ Face++ พุ่งสูงถึงระดับพันล้านเหรียญ
โดยผู้นำด้านการใช้ Biometric Payment คงจะหนีไม่พ้น Alibaba เจ้าพ่อแห่งวงการ E-Commerce ที่ได้นำการสแกนใบหน้าของ Face++ มาพัฒนาต่อโดยใช้ระบบ AI มาช่วยอุดช่องโหว่ ทำให้การสแกนแม่นยำที่สุด จนเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า Face Pay สามารถทำธุรกรรมผ่านการยืนยันด้วยใบหน้าใน Alipay และตามร้านค้าปลีกในเครือ นอกจากนั้น Baidu บริษัท Search Engine ยักษ์ใหญ่ของจีน ได้พัฒนาระบบรถไฟไร้ตั๋ว ใช้การสแกนใบหน้าแทนการสแกนตั๋วเข้าออกชานชาลา ซึ่งจากการทดสอบใช้งาน Baidu ยืนยันว่าระบบมีความแม่นยำถึง 99%
ในประเทศไทย เริ่มมีการนำ Biometric Payment มาใช้กันบ้างแล้ว เช่น การใช้ระบบสแกนนิ้วมือกับบัตรเครดิต แต่ยังไม่แพร่หลาย ต้องพัฒนาความเที่ยงตรงในการสแกนรูปลักษณ์ของเราที่มีความเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รวมถึงพัฒนาระบบเก็บข้อมูลที่สแกนเสร็จแล้ว เพื่อป้องกันจากการถูกแฮ็ก มาตรการรักษาความปลอดภัยจึงถูกพัฒนาขึ้นพร้อมๆ กัน เช่น Biometric Scan หลายๆ อย่างประกอบกันเพื่อความแม่นยำที่สุด หรือสร้างระบบที่สามารถลบล้างหรือตัดทอนข้อมูลได้หลังจากถูกสแกน ซึ่งนั้นเป็นขั้นต่อไปของการพัฒนาวิทยาการ Biometric Payment เพื่อให้เกิด Cashless Society ที่ปลอดภัยและรัดกุมมากขึ้น