ในยุคที่ AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดดและเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันแทบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือแม้แต่ความบันเทิง กระแสนี้ไม่เพียงสร้างความนิยม แต่ยังดึงเม็ดเงินมหาศาลเข้าสู่บริษัทผู้พัฒนา จึงไม่น่าแปลกใจที่บริษัทยักษ์ใหญ่จะเปิดศึกแข่งขันกันอย่างดุเดือด จนถือกำเนิดเป็นสงครามการห้ำหั่นเพื่อแย่งชิงบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI สูง
ปัจจุบันสงครามในวงการ AI ไม่ได้วัดกันแค่ว่าใครมีโมเดลล้ำที่สุด หรือมีชิปแรงที่สุด แต่กำลังวัดกันที่ว่าใครสามารถดึงดูดและรักษา “คน” เอาไว้ได้มากกว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ สถาบันวิจัย หรือแม้แต่รัฐบาล ต่างทุ่มเงินเดือน โบนัส และสิทธิพิเศษเพื่อดึงดูดนักวิจัยและวิศวกร AI ฝีมือดีเข้าสังกัด ซึ่งสะท้อนว่าทรัพยากรมนุษย์คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างแท้จริง ถึงขั้นที่บริษัทต่าง ๆ ยอมแลกกับต้นทุนมหาศาลเพื่อไม่ให้เสียเปรียบในสมรภูมิครั้งนี้
ศึกดึงตัวสุดเดือดระหว่างยักษ์ใหญ่
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงหนีไม่พ้นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Meta ที่เดินหน้าไล่ล่าคนเก่ง AI จากคู่แข่งอย่างดุเดือด ด้วยข้อเสนอที่สูงจนน่าตกใจ มีทั้งสัญญาค่าตอบแทนรวมกว่า 300 ล้านดอลลาร์ (เกือบ 1 หมื่นล้านบาท) ภายในระยะเวลา 4 ปี หรือในกรณีของ Andrew Tulloch ผู้นำวิจัยและผู้ร่วมก่อตั้งสตาร์ทอัพด้าน AI สัญชาติอเมริกัน อย่าง Thinking Machines Lab ที่ได้รับข้อเสนอมูลค่าสูงถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ (ราว 5 หมื่นล้านบาท) ในระยะเวลา 6 ปี แต่เจ้าตัวเลือกที่จะปฏิเสธไป
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในสงครามครั้งนี้คงหนีไม่พ้น Apple ที่ได้สูญเสียนักวิจัย AI ไปแล้วประมาณ 12 คน ให้กับคู่แข่งอย่าง Meta, OpenAI, xAI และ Cohere ไม่เว้นแม้แต่ผู้บริหารระดับสูงด้าน AI อย่าง Ruoming Pang ที่ได้รับข้อเสนอมูลค่ากว่า 200 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.5 พันล้านบาท) จาก Meta จนนักวิเคราะห์พากันเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “วิกฤติความเชื่อมั่น” (Crisis of Confidence) และชี้ให้เห็นว่าบริษัทไม่สามารถรักษาความได้เปรียบด้านบุคลากรในสงครามที่แสนดุเดือดนี้ได้
อย่างไรก็ดี OpenAI มีความเห็นที่แตกต่างออกไปในเรื่องของกลยุทธ์รุกตลาดบุคลากรด้าน AI ของคู่แข่ง โดย CEO อย่าง Sam Altman ได้ให้ความเห็นว่า การที่บริษัทมัวแต่ตามชิงตัวบุคลากรที่มีชื่อเสียงในวงการ AI อาจเป็นทางเลือกที่ผิดพลาด เพราะจริง ๆ แล้วยังคงมีวิศวกรอีกมากมายที่สามารถสร้างผลงานได้ดีไม่แพ้กัน หากพวกเขาได้รับการหยิบยื่นทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และจุดยืนนี้ของ OpenAI ก็ได้สะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัดในกลยุทธ์เสริมสร้างความภักดีด้วยโบนัสมูลค่าหลายล้านดอลลาร์สำหรับทีมนักวิจัยและวิศวกรกว่า 1,000 คน
จากมุมมองของพนักงาน บุคลากร AI อยากได้อะไรกันแน่?
คำถามที่น่าสนใจคือ “อะไรคือสิ่งที่ทำให้บุคลากร AI ตัดสินใจอยู่หรือไป?”
จากข้อมูลและคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารหลายบริษัทในปีนี้พิสูจน์ว่าคำตอบอาจไม่ใช่ “เงิน” เพียงอย่างเดียว
Lisa Su ซีอีโอของ AMD ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ชื่อดังจากสหรัฐฯ กล่าวอย่างชัดเจนว่า เธอจะไม่เดินตามรอย Meta ที่ทุ่มมหาศาลเพื่อแย่งตัวบุคลากรจากคู่แข่ง เพราะแม้ว่าเงินจะเป็นปัจจัยสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการสร้างทีมที่ “เชื่อในพันธกิจของบริษัทจริง ๆ” คนที่มีเป้าหมายตรงกับองค์กรจะอยู่กับบริษัทได้ยาวกว่าและสร้างผลงานที่ยั่งยืนกว่า
Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ก็แสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เขาอธิบายว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Google รักษาคนเก่งได้ ไม่ใช่แค่การขึ้นเงินเดือน แต่คือการให้โอกาสได้ทำงานที่มีความหมาย พร้อมทั้งโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรระดับโลก เช่น เครื่องประมวลผล AI ที่ทรงพลัง สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้บุคลากรรู้สึกว่าตัวเองได้สร้างผลลัพธ์จริง ๆ และยังคงอยากอยู่ต่อ
อีกหนึ่งตัวอย่างของบริษัทที่ประสบความสำเร็จด้านการรักษาบุคลากรคือ Anthropic สตาร์ทอัพด้าน AI สัญชาติอเมริกัน ผลสำรวจของของบริษัทเทคโนโลยี SignalFire ในปี 2568 เผยว่า Anthropic สามารถรักษาบุคลากรให้อยู่ต่อเป็นเวลาอย่างน้อยสองปีหลังการจ้างงานได้มากถึง 80% โดยจุดเด่นของบริษัทคือ วัฒนธรรมองค์กรที่เปิดรับความคิดนอกกรอบ และให้อิสระอย่างแท้จริงแก่พนักงานในการสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกการทำงานที่ยืดหยุ่น และไม่มีการเมืองเรื่องตำแหน่งหรือแนวทางการบริหารที่บีบบังคับ
เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ๆ เช่น DeepMind ซึ่งรักษาพนักงานให้อยู่ต่ออย่างน้อยสองปีได้ 78%, OpenAI อยู่ที่ 67%, และ Meta อยู่ที่ 64% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าวัฒนธรรมองค์กร บรรยากาศการทำงาน และเสรีภาพในการคิด ล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของบุคลากร ไม่แพ้ตัวเลขในสัญญาเลย
แล้วประเทศไทยอยู่ตรงไหน?
คำถามที่ตามมาคือ ในสมรภูมิระดับโลกนี้ ประเทศไทยอยู่ในจุดไหน? ในปัจจุบัน ทางภาครัฐยังคงประสบปัญหาในการดึงดูดบุคลากรด้าน AI เนื่องจากมีค่าตอบแทนต่ำ กระบวนการจ้างงานล่าช้า และระบบที่ล้าสมัย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีแผนใหญ่ที่จะสร้างงานด้านเทคโนโลยีขั้นสูงให้ได้ถึง 280,000 ตำแหน่ง ภายในปี 2572 โดยในจำนวนนั้นจะมีงานด้าน AI ถึง 50,000 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ยังตั้งเป้าฝึกอบรมผู้ใช้ AI ให้ได้ถึง 10 ล้านคน ผู้เชี่ยวชาญ 90,000 คน และนักพัฒนา 50,000 คน ภายใน 2 ปีข้างหน้านี้ โดยได้สร้างโครงการ THAI Academy ซึ่งเป็นการร่วมมือระหว่าง Microsoft และ กระทรวงศึกษาธิการเพื่ออบรมผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 30,000 คน
สงครามชิงตัวบุคลากรในครั้งนี้ตอกย้ำชัดเจนว่า “คน” คือทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลในยุค AI และการตัดสินผู้แพ้ชนะไม่ได้วัดจากใครทุ่มเงินได้มากที่สุดเท่านั้น แต่ต้องให้ โอกาส อิสระ เครื่องมือที่เหมาะสม และวัฒนธรรมที่ทำให้คนอยากอยู่ต่อ
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายในการสร้างบุคลากรด้าน AI ที่ชัดเจน ความท้าทายต่อจากนี้คือการเปลี่ยนจากตัวเลขผู้ผ่านการอบรมให้กลายเป็นโอกาสงานที่จับต้องได้จริง หากทำได้สำเร็จ ไทยก็มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในสมรภูมินี้ ไม่ใช่เพียงผู้ตามอีกต่อไป