เมื่อวัยเด็กไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือยุคที่ AI กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดและได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของแทบทุกแง่มุมในชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ ที่ AI แทรกซึมเข้ามาทั้งในรูปแบบของลำโพงอัจฉริยะ ผู้ช่วยทางโทรศัพท์ (Phone Assistant) หรือแม้แต่ของเล่นพูดได้
แม้จะเป็นเรื่องปกติที่เด็ก ๆ จะชอบพูดคุยกับของเล่นของตัวเองอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ต่างจากเดิมคือของเล่นเหล่านั้นสามารถตอบโต้กับเด็ก ๆ ได้แล้วด้วยพลังของเทคโนโลยี AI และนั่นกำลังเปลี่ยนโลกของวัยเด็กไปตลอดกาล
โอกาสและความท้าทายใหม่ของการเรียนรู้
รายงานของ UNICEF ระบุว่า เด็กเล็กทั่วโลกเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับของเล่นและผู้ช่วยเสียง (Voice Assistant) ที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้น ส่งผลให้ประสบการณ์ในวัยเด็กและสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ของเด็ก ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
โดย UNICEF ได้กล่าวถึงประโยชน์ของ AI ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในช่วงต้น ทั้งด้านความคิดสร้างสรรค์ การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม และการเข้าถึงที่เท่าเทียม (Inclusion) ผ่านฟังก์ชันต่าง ๆ เช่น การเล่านิทานเชิงโต้ตอบ หรือเกมภาษา AI ที่ช่วยเพิ่มคลังคำศัพท์และความมั่นใจให้กับเด็ก ๆ
แต่แน่นอนว่าทุกเทคโนโลยีย่อมมีสองด้าน เมื่อ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น คำถามใหญ่ที่เกิดขึ้นคือเส้นแบ่งระหว่างประโยชน์และโทษของ AI ในฐานะเพื่อนเล่นของเด็ก ๆ อยู่ที่จุดไหนกันแน่?
เส้นบาง ๆ ระหว่าง “ปลอดภัย” และ “อันตราย”
งานวิจัยและรายงานจากหลายแหล่ง เช่น สำนักข่าว The Guardian จากสหราชอาณาจักร ได้รายงานว่า ผู้ปกครองบางคนปล่อยให้เด็กเล็กสนทนาด้วยเสียงกับ AI เป็นเวลานาน จนเด็กบางคนเริ่มมองว่า AI มีชีวิต ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนจริง ๆ (Anthropomorphizing) หรือกระทั่งเกิดความผูกพันทางอารมณ์กับ AI จนส่งผลให้ขอบเขตระหว่างจินตนาการ ความเห็นอกเห็นใจ และการถูกชักจูง เลือนราง
แม้ผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่มมองว่านี่อาจช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ แต่หลายฝ่ายก็เตือนว่าการผูกพันทางอารมณ์กับสิ่งที่ไม่มีความรู้สึกจริง อาจส่งผลต่อพัฒนาการทางสังคมในระยะยาว
นโยบายการรับมือ
ด้วยความกังวลนี้ องค์กรต่าง ๆ เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อทำความเข้าใจและรับมืออย่างจริงจัง
เมื่อเดือนกันยายน 2568 คณะกรรมาธิการว่าด้วยการค้าแห่งสหพันธรัฐ (The Federal Trade Commission: FTC) ได้เริ่มการสอบสวนบริษัทต่าง ๆ จำนวน 7 แห่ง ได้แก่ Alphabet, Character Technologies, Instagram, Meta, OpenAI, Snap และ xAI ซึ่งล้วนแล้วแต่ให้บริการแชตบอตที่ขับเคลื่อนด้วย AI แก่ผู้บริโภค โดย FTC มีจุดมุ่งหมายที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการออกแบบ ทดสอบ วัดผล และติดตามผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นต่อเด็กและเยาวชน
นอกจากนี้ OpenAI เองก็ได้พัฒนาระบบการควบคุมโดยผู้ปกครอง (Parental Controls) ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ปกครองสามารถจำกัดหัวข้อสนทนาและเชื่อมโยงกับบัญชีของเด็กได้
พ่อแม่คือด่านแรกของการเรียนรู้ ไม่ใช่กำแพงปิดกั้นเทคโนโลยี
แม้จะมีนโยบายและเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาช่วย แต่บทบาทของพ่อแม่ยังสำคัญที่สุด
Children’s National Hospital จากรัฐวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐฯ ชี้ว่า การเปิดใจพูดคุยกันเป็นวิธีการป้องกันภัยจาก AI ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ผู้ปกครองควรสอบถามบุตรหลานว่าใช้เครื่องมือ AI อะไรบ้าง รู้สึกอย่างไรกับเครื่องมือเหล่านั้น และเชื่อว่าเครื่องมือเหล่านั้นทำอะไรได้บ้าง นอกจากนี้ การสอนให้เด็ก ๆ มีวิจารณญาณต่อสิ่งที่ AI พูดและรับรู้ถึงข้อจำกัดของ AI ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ โดยควรทำควบคู่ไปกับการส่งเสริมกิจกรรมและมิตรภาพที่สร้างความเชื่อมโยงและความมั่นใจอย่างแท้จริงให้กับเด็ก ๆ
ในขณะเดียวกัน องค์กร Children and Screens จากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ ก็ได้แนะนำให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมกับบุตรหลานในการโต้ตอบกับ AI เพื่อกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และช่วยให้เด็ก ๆ พิจารณาถึงสิ่งที่ AI พูดหรือแสดงให้เห็น หากจำเป็น ก็ควรปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เด็ก ๆ มีความเข้าใจที่ถูกต้องและได้รับข้อมูลที่เหมาะสมกับตนเอง
AI อาจฉลาดขึ้นทุกวัน แต่หัวใจของการเลี้ยงดูยังเหมือนเดิม
ในสังคมที่ผู้คนยังคงดิ้นรนหาหนทางที่ดีที่สุดในการประยุกต์ใช้ AI ในสถานที่ทำงาน ห้องเรียน หรือแม้กระทั่งในการเลี้ยงเด็ก สิ่งสำคัญคือเราต้องจดจำคุณค่าอันเป็นเอกลักษณ์ของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
เมื่อเรานึกย้อนไปถึงคุณครูที่ดีที่สุดในชีวิต คุณครูคนนั้นมักเป็นบุคคลที่สามารถเข้าใจตัวตน ความสนใจ และประสบการณ์ของนักเรียน จากนั้นจึงนำสิ่งเหล่านั้นไปใช้ในห้องเรียนเพื่อการเรียนรู้
เช่นเดียวกันกับการใช้ AI ในกลุ่มเด็ก แทนที่จะจำกัดการเข้าถึงโดยสิ้นเชิง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ผู้ปกครองคอยชี้นำเด็ก ๆ ผ่านการใช้ร่วมกันและการเปิดอกสนทนา เพื่อให้สามารถใช้ AI ในฐานะสื่อการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างปลอดภัย