ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา “Robotaxi” หรือแท็กซี่ไร้คนขับ ถูกพูดถึงในฐานะธุรกิจแห่งอนาคตที่อาจสร้างมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ หลายบริษัทเทคโนโลยี รวมถึง Tesla ของ Elon Musk และ Waymo ของ Alphabet ต่างเร่งพัฒนาและทดสอบบริการนี้
แต่รายงานล่าสุดจากหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง HSBC กลับสะท้อนภาพอีกด้านว่า กว่าที่ธุรกิจหุ่นยนต์แท็กซี่จะทำกำไรได้จริง อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7-8 ปีหลังจากเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ แม้เทคโนโลยีจะสมบูรณ์แล้วก็ตาม และนั่นสะท้อนให้เห็นว่า “โลกอัตโนมัติ” ไม่ได้มีแต่ความล้ำสมัยเพียงด้านเดียว แต่ยังเต็มไปด้วยต้นทุนแฝงและความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องจัดการให้ได้
ความจริงเบื้องหลังธุรกิจ Robotaxi
Tesla และ Waymo คือสองบริษัทที่ถูกจับตามองมากที่สุดในสนามแข่งรถไร้คนขับ แต่เมื่อมองลึกลงไปในผลประกอบการ จะเห็นว่าทั้งคู่ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าโมเดลนี้สร้างกำไรได้
- Waymo: ในไตรมาส 2 ปี 2568 Alphabet รายงานว่ากลุ่มธุรกิจ Other Bets หรือกลุ่มโครงการลงทุนที่ยังไม่ทำกำไรแยกส่วน เช่น Waymo (รถไร้คนขับ), Verily (เทคโนโลยีชีวภาพและสุขภาพ) มีรายได้รวม 373 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ขาดทุนสูงถึง 1.25 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมากกว่าปีก่อนหน้า แม้จะมีรายได้เพิ่มเล็กน้อย แต่การขยายการทดสอบและโครงสร้างพื้นฐานของ Waymo ยังทำให้ค่าใช้จ่ายพุ่งสูง จนยังห่างไกลจากจุดคุ้มทุน
- Tesla: ในไตรมาสเดียวกัน ยอดส่งมอบรถยนต์ทั่วโลกลดลง 13.5% เมื่อเทียบกับปี 2567 ทำให้นักลงทุนยิ่งจับตาว่า Elon Musk จะทำตามสัญญา “Robotaxi นับล้านคันภายในปี 2569” ได้จริงหรือไม่
ทั้งหมดนี้สะท้อนว่าการทำธุรกิจ Robotaxi ยังต้องใช้เวลาและยังไม่ได้เข้าใกล้การทำกำไรอย่างที่ควร
ต้นทุนที่ซ่อนอยู่หลังคำว่า “ไร้คนขับ”
หลายคนอาจมองว่าอัตโนมัติหมายถึงการลดค่าใช้จ่าย แต่ความจริงแล้วต้นทุนมักไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากค่าแรงมนุษย์ไปสู่ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานและการดูแลระบบ
สำหรับ Robotaxi ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ปรากฏชัด เช่น
- ศูนย์ชาร์จไฟและลานจอด ที่ต้องมีเครือข่ายครอบคลุมเมือง
- สถานีทำความสะอาดและบำรุงรักษา เพื่อให้รถพร้อมใช้งานตลอดเวลา
- ระบบประกันภัยรูปแบบใหม่ ที่ต้องรองรับความเสี่ยงจากเทคโนโลยีอัตโนมัติ
- และที่สำคัญคือ ทีมงานเบื้องหลัง ที่ต้องคอยรับสัญญาณจากรถและเข้ามาแก้ไขในกรณีที่ระบบไม่สามารถตัดสินใจได้เอง (Cruise ยอมรับว่า 2-4% ของการขับในเมืองยังต้องใช้คนเข้ามาช่วย)
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า แม้จะตัด “คนขับ” ออกจากสมการ แต่เบื้องหลังก็ยังต้องมีมนุษย์จำนวนมากคอยตรวจสอบและจัดการความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ทำให้ธุรกิจยังมีต้นทุนซ่อนอยู่มหาศาล
คอขวดที่แท้จริงคือความปลอดภัยและความเชื่อมั่น
อุปสรรคสำคัญที่สุดของการขยายบริการ Robotaxi ไม่ใช่เพียงเทคโนโลยี แต่คือ ความเชื่อมั่นของสังคมและความเข้มงวดจากหน่วยงานกำกับดูแล เพราะอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เพียงครั้งเดียวก็อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้งานไปอีกหลายปี
ยกตัวอย่างเช่นกรณีเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2568 ที่ผ่านมา รถของ Zoox ที่ไม่มีผู้โดยสารเกิดอุบัติเหตุชนกับรถยนต์อีกคันในลาสเวกัส ส่งผลให้บริษัทต้องเรียกคืนรถกว่า 270 คัน เพื่อตรวจสอบและแก้ไขซอฟต์แวร์
และเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกันก็เกิดเหตุ Robotaxi ของ Baidu ตกลงไปในบ่อก่อสร้างในอู่ฮั่น ทำให้เกิดกระแสถกเถียงเรื่องมาตรการความปลอดภัยและนำไปสู่การตรวจสอบของภาครัฐ
แม้ทั้งสองเหตุการณ์ไม่ได้สร้างความสูญเสียร้ายแรง แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้สังคมตั้งคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือยังที่จะยอมให้รถไร้คนขับจำนวนมากโลดแล่นอยู่บนถนน นี่คือสัญญาณชัดว่า ความปลอดภัยและความไว้วางใจคือหัวใจของการเติบโตของโมเดลธุรกิจนี้ ไม่แพ้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี