เดิมที ระบบบริการสุขภาพแบบเก่ามักไม่ได้มีแต่งานด้านการรักษาเท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยงานธุรการอย่างงานจัดการเอกสารและการนัดหมายผู้ป่วย ซึ่งในปัจจุบัน ระบบบริการสุขภาพในทวีปเอเชียกำลังเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ที่ทันสมัย ตัวอย่างเช่นการใช้ AI ในการสร้าง Medical Imaging หรือภาพทางการแพทย์ที่แสดงถึงโครงสร้างและการทำงานของร่างกายมนุษย์ การจัดทำระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Health Record: EHR) และจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ตลอดจนการใช้หุ่นยนต์ AI เข้ามาช่วยในการผ่าตัด ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ รักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงปรับปรุงขั้นตอนการวิจัยและพัฒนาให้รวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้ระบบบริการสุขภาพเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้นอีกด้วย
โดยผลสำรวจจาก Healthcare Enterprise Cloud Index (ECI) ของ Nutanix พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจด้าน IT ในอุตสาหกรรมสุขภาพ กว่า 80% ต้องการปรับปรุงระบบ IT ในขณะที่ 85% มีแผนเพิ่มการลงทุนในโครงการด้าน AI นอกจากนี้ ECI ยังคาดการณ์ไว้ว่า การใช้งานโมเดลมัลติคลาวด์แบบไฮบริด (Hybrid Multi-Cloud Models) หรือ การใช้คลาวด์สาธารณะ (Public Cloud) 2 ตัวขึ้นไปควบคู่กับคลาวด์ส่วนตัว (Private Cloud) ในการจัดเก็บข้อมูล จะเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วง 1-3 ปีข้างหน้านี้ เนื่องจากองค์กรต่าง ๆ ภายในอุตสาหกรรมสุขภาพต้องการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของ AI รวมถึงปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ และหันมาใช้วิธีที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าระบบบริการสุขภาพในทวีปเอเชียเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เห็นได้จากการที่มูลค่าทางการตลาดของการใช้ AI สร้าง Medical Imaging มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 28.03% ระหว่างช่วงปี 2566-2575 โดยการนำ AI เข้ามาช่วยจะทำให้การวินิจฉัยโรคต่าง ๆ อย่างโรคมะเร็ง หรือ โรคทางสมอง เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น
ตัวอย่างการนำ AI มาใช้ประโยชน์ในระบบบริการสุขภาพในทวีปเอเชีย
- GenAI ในระบบบริการสุขภาพของสิงคโปร์
สถาบันระบบสุขภาพมหาวิทยาลัยแห่งชาติ (NUHS) แห่งสิงคโปร์ ได้สร้างแพลตฟอร์มที่มีชื่อว่า RUSSELL-GPT ขึ้นมา ซึ่งใช้ GenAI ของ Amazon Bedrock ในการช่วยลดงานด้านธุรการต่าง ๆ ในระบบบริการสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น ช่วยสรุปข้อมูลของผู้ป่วย จำแนกประเภทของการวินิจฉัย รวมถึงเขียนเอกสารอ้างอิงและบันทึก เป็นต้น โดยพบว่า GenAI สามารถช่วยลดงานธุรการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ได้มากถึง 40% เลยทีเดียว
- ระบบต้านจุลชีพอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในไต้หวัน
China Medical University Hospital (CMUH) ได้พัฒนาโมเดล AI สำหรับระบบต้านจุลชีพอัจฉริยะ (Intelligent Antimicrobial System) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการวินิจฉัยโรค และการรักษาแบบฉุกเฉิน ให้กับโรงพยาบาล 12 แห่ง โดยสามารถลดระยะเวลาการตรวจสอบแบคทีเรียจาก 72 ชั่วโมงหากส่งตรวจในแล็บ เหลือเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลงถึง 25% ลดค่าใช้จ่ายในการใช้ยาปฏิชีวนะลงถึง 30% และลดการใช้ยาปฏิชีวนะได้มากถึง 50%
- หุ่นยนต์ผ่าตัด AI ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คาดว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุที่มีทั้งโรคเฉียบพลัน และโรคเรื้อรัง จะทำให้มูลค่าของตลาดหุ่นยนต์ผ่าตัดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแตะ 8.49 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2568 ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ระบบผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ AI ที่มีชื่อว่า da Vinci Surgical System พัฒนาโดยบริษัท Intuitive Surgical ซึ่งช่วยให้ข้อเสนอแนะแก่ศัลยแพทย์ขณะทำการผ่าตัด ช่วยจดจำภาพ วิเคราะห์เนื้อเยื่อ และควบคุมเครื่องมือ ส่งผลให้การผ่าตัดเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยมีอาการเจ็บน้อยลง และใช้เวลาในการฟื้นฟูลดลง อีกทั้งยังลดโอกาสในการเกิดสภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดอีกด้วย ณ ปัจจุบัน มีโรงพยาบาลกว่า 30 แห่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้หุ่นยนต์ผ่าตัดตัวนี้
ศักยภาพของกรุงเทพฯ ในด้านระบบบริการสุขภาพที่ก้าวหน้า
เมื่อพูดถึงระบบบริการสุขภาพ กรุงเทพฯ เองก็ไม่ได้น้อยหน้าใคร เพราะกรุงเทพฯ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมที่สำคัญ รวมถึงเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ระดับนานาชาติ ส่งผลให้กลายเป็นผู้นำเทรนด์การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่สำคัญของทั่วทั้งภูมิภาค โดยในอนาคต กรุงเทพฯ และเอเชียอาจเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเฉพาะบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงระบบบริการสุขภาพอัจฉริยะ ที่จะช่วยให้การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ไอเดียของระบบบริการสุขภาพที่ทันสมัยจะดูดีแค่ไหน แต่สิ่งสำคัญที่เราควรตระหนักเอาไว้ก็คือ ความปลอดภัยของข้อมูลทางการแพทย์ที่ได้จากการใช้ AI หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรอัปเดตมาตรการความปลอดภัยอยู่เสมอ และทำให้แน่ใจว่า ข้อมูลทางการแพทย์จะอยู่ในมือของบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่หลุดรอดไปถึงบุคคลภายนอกที่ไม่ประสงค์ดี