ทำความรู้จักนวัตกรรมสตาร์ทอัพ 3 ประเภท Low Tech, High Tech และ Deep Tech

มิถุนายน 7, 2024

มาดูกันว่าการแบ่งประเภทของสตาร์ทอัพตามระดับเทคโนโลยีทั้ง 3 แบบ ได้แก่ Low Tech, High Tech และ Deep Tech จะมีความแตกต่างกันอย่างไร และแต่ละแบบมีข้อได้เปรียบหรือความท้าทายอะไรบ้างที่ผู้ประกอบการจะต้องพบเจอระหว่างเส้นทางการปั้นธุรกิจของตัวเองให้ประสบความสำเร็จ ไปดูกันเลย!

Low Tech คืออะไร

Low Tech นั้นมีความหมายค่อนข้างตรงตัวตามชื่อเรียกโดยเป็นเทคโนโลยีที่ไม่มีความซับซ้อนขั้นสูง นักพัฒนาส่วนใหญ่สามารถเรียนรู้วิธีเพื่อสร้างขึ้นใหม่อย่างง่ายดายแถมยังไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนมากมายอีกด้วย นอกจากนี้ Low Tech ยังมักเป็นนวัตกรรมที่พบเห็นได้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน ซึ่งหากสตาร์ทอัพใดตัดสินใจเลือกพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วย Low Tech ก็จะมีข้อได้เปรียบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการสามารถเข้าสู่ตลาดได้ค่อนข้างเร็วไม่เกินประมาณ 1 ปี เพราะใช้ทรัพยากรเพื่อจ้างโปรแกรมเมอร์ รวมถึงเวลาในการพัฒนาเทคโนโลยีที่น้อยกว่าสตาร์ทอัพประเภทอื่น ๆ นั่นเอง

ตัวอย่างของสตาร์ทอัพธุรกิจ Low Tech ได้แก่ Allbirds บริษัทขายรองเท้าผ้าใบในประเทศนิวซีแลนด์ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2559 โดยนอกจากจะชูจุดเด่นที่ความสบายในการสวมใส่แล้วยังมุ่งเน้นด้านความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เพราะรองเท้า Allbirds ทำมาจากวัสดุธรรมชาติอย่างขนแกะ (Wool) และเส้นใยต้นยูคาลิปตัส ปัจจุบัน Allbirds เติบโตจากบริษัทที่มีพนักงานเพียง 2 คนกลายเป็นแบรนด์ชื่อดังที่มีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ! อย่างไรก็ตาม ข้อควรระวังที่ผู้ประกอบการธุรกิจ Low Tech ต้องคำนึงถึงคือความไม่ซับซ้อนของเทคโนโลยีดังกล่าวเปรียบเสมือนดาบสองคมที่อาจทำให้คู่แข่งคนอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมเลียนแบบผลิตภัณฑ์ของบริษัท  หรือคิดค้นสินค้าคล้าย ๆ กันในราคาต่ำกว่าออกมาได้ง่ายเช่นเดียวกัน

รองเท้าแบรนด์ Allbirds เป็นที่นิยมในชุมชนคนทำงานด้าน IT ที่ Silicon Valley สหรัฐอเมริกา

High Tech คืออะไร

ระดับนวัตกรรมขั้นต่อมาของบริษัทสตาร์ทอัพ คือ High Tech ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยีที่ผ่านการคิดค้นให้มีความสามารถและฟังก์ชันที่ล้ำสมัยมากมาย และถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่งหรือเพื่อใช้งานภายในอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งโดยเฉพาะ นอกจากนี้ นวัตกรรม High Tech มักจะเข้ามาพลิกโฉมขั้นตอนการทำงานรูปแบบเดิม โมเดลการดำเนินธุรกิจ ไปจนถึงสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมได้เลยทีเดียว ดังนั้นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพประเภทนี้จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากกว่า รวมถึงยังเสี่ยงน้อยกว่าที่จะโดนคู่แข่งคัดลอกหรือขโมยไอเดียอีกด้วย แม้จะแลกมากับการที่ต้องใช้ต้นทุนทั้งเวลาและเม็ดเงินที่มากกว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์ Low Tech ก็ตาม

ตัวอย่างของสตาร์ทอัพ High Tech นั้นมีมากมายและเป็นแบรนด์ที่หลาย ๆ คนรู้จักหรืออาจกำลังใช้งานกันอยู่เป็นประจำแล้วด้วย ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันบริการเรียกรถแท็กซี่ จัดส่งสินค้าและอาหารอย่าง Uber ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารและขนส่งสาธารณะแบบดั้งเดิม ทำให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางอย่างสะดวกสบาย เข้าถึงร้านอาหารอร่อย ๆ และได้มีเวลาว่างเพิ่มเติมให้กับสิ่งที่สนใจได้มากขึ้น อีกหนึ่งตัวอย่าง คือ แอป สำหรับการหาคู่และพบปะเพื่อนใหม่ ๆ เช่น Tinder และ Bumble รวมไปถึงแพลตฟอร์ม E-Commerce สำหรับซื้อสินค้าต่าง ๆ ทางออนไลน์ เป็นต้น

Uber ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ในสหรัฐอเมริกาและเมื่อปีที่ผ่านมาสามารถทำกำไรได้มากกว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์

Deep Tech คืออะไร

ประเภทของสตาร์ทอัพข้อสุดท้ายคือ Deep Tech ซึ่งเป็นการพัฒนาเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและลอกเลียนแบบได้ยากขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตพร้อมแก้ปัญหาระดับมหภาคที่เกี่ยวโยงกับผู้คนทั่วโลก ดังนั้นผู้ประกอบการที่สนใจในธุรกิจ Deep Tech ควรมีเงินลงทุนจำนวนมากกว่าการปั้นสตาร์ทอัพรูปแบบอื่น เพราะกว่าที่จะสามารถพัฒนานวัตกรรมจนใช้งานได้จริงและผลักดันออกสู่ตลาด จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานในการวิจัย รวมถึงการสรรหาและดูแลบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านนั้น ๆ เป็นพิเศษอีกด้วย นอกจากนี้ สตาร์ทอัพ Deep Tech ยังมีความท้าทายสำคัญว่าอาจสูญเสียต้นทุนมูลค่าสูงหากพัฒนานวัตกรรมไม่สำเร็จ ในทางกลับข้าม หากสร้างผลงานที่น่าประทับใจก็จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดและทำผลกำไรมหาศาลกว่าธุรกิจอื่น ๆ เช่นกัน

หนึ่งในตัวอย่างของสตาร์ทอัพด้าน Deep Tech ที่น่าสนใจ คือ QuantumScape บริษัทจากประเทศสหรัฐอเมริกาผู้พัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน (Lithium-Ion Battery) สำหรับยานยนต์พลังงานไฟฟ้าเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ อีกหนึ่งตัวอย่างของนวัตกรรม Deep Tech แห่งยุคปัจจุบัน คือ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งมีผู้ประกอบการสตาร์ทอัพทั่วโลกกำลังวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลัง AI ของบริษัท Perplexity  และ Luma AI ซอฟต์แวร์ที่ช่วยสร้างโมเดล 3 มิติได้อย่างสวยงาม รวดเร็ว และสะดวกสบาย

Share this article

กดติดตาม InnoHub

เพื่อรับข้อมูลข่าวสารและแรงบันดาลใจด้านนวัตกรรมใหม่ ๆ

เรานำข้อมูลมาใช้เพื่อการส่งมอบคอนเทนต์และบริการอย่างเหมาะสม เราจะปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณ คุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Privacy Policy และคลิกสมัครเพื่อดำเนินการต่อ